‘บลจ.ไทยพาณิชย์’ แนะจับจังหวะลงทุนช่วงนี้ ดีสุดรอบ 10 ปี ชูกองทุนฟรีค่าธรรมเนียม ขั้นต่ำ 1 บาท

นายณรงค์ศักดิ์ ปลอดมีชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด เปิดเผยว่า ขณะนี้นับว่าเป็นจังหวะที่ดีที่สุดในรอบ 10 ปี สำหรับการลงทุนระยะยาวและมีโอกาสได้ผลตอบแทนในระดับสูง พร้อมทั้งแนะนำลงทุนใน 5 กองทุนชนิดช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ ที่ฟรีค่าธรรมเนียมในการซื้อ และค่าธรรมเนียมการจัดการ โดยเป็นกองทุนที่เน้นลงทุนทั้งตชาดในประเทศ และตลาดต่างประเทศ อาทิ จีน อินเดีย ญี่ปุ่น ยุโรป ด้วยมูลค่าการลงทุนขั้นต่ำ 1 บาท – สูงสุด 1 ล้านบาท สามารถซื้อได้ผ่านช่องทางแอปพลิเคชัน เอสซีบี อีซี่ และ เอสซีบีเอเอ็ม ฟันด์ ซึ่งถือว่าเป็นแอปพลิเคชันที่ง่ายและสะดวก สามารถเลือกลงทุนในกองทุนภายใต้การบริหารของบลจ.ไทยพาณิชย์ ได้ทุกที่ทุกเวลา โดยสามารถเลือกตัดบัญชีเพื่อซื้อกองทุนได้จากหลากหลายธนาคารชั้นนำ และเพื่อเป็นการสนับสนุนการออมระยะยาว ยังสามารถทำรายการลงทุนแบบถัวเฉลี่ย ผ่านช่องทางดังกล่าวได้อีกด้วย

นายณรงค์ศักดิ์กล่าวว่า จากแรงกดดันทำให้เศรษฐกิจชะลอตัว อัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำ รวมถึงผลกระทบจากโควิด-19 เป็นปัจจัยให้
คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายฉุกเฉินลง ในขณะที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ร่วมกับกระทรวงการคลัง และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) มีมาตราการสนับสนุนเสถียรภาพตลาดการเงินไทยเพิ่มเติม ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ทำให้นักลงทุนคลายความกังวลต่อตลาดตราสารหนี้ได้ ส่วนตลาดหุ้นไทยในช่วงไตรมาสที่ 1 ตลาดหุ้นไทยได้ปรับตัวลดลง 453.98 จุดหรือ 28.74% โดยปรับตัวลดลงจาก 1,559.84 จุด ณ วันที่ 30 ธันวาคม 2562 เป็น 1,125.86 จุด ณ วันที่ 31 มีนาคม 2563 สาเหตุจากการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่รุนแรงกว่าที่คาดการณ์ไว้ บวกกับราคาน้ำมันที่ลดลงแรง จากการประกาศสงครามราคาน้ำมันระหว่างซาอุดิอาระเบียและรัสเซีย ทำให้นักลงทุนเทขายสินทรัพย์ทุกประเภท ซึ่งส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจโลกทั้งในแง่การหยุดชะงักของภาคการผลิต ภาคการบริการ การท่องเที่ยวและการบริโภค

นายณรงค์ศักดิ์กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม ณ สิ้นวันที่ 21 เมษายน 2563 ดัชนีได้ปรับตัวขึ้นอยู่ที่ระดับ 1,253 จุด ฟื้นตัวจากจุดต่ำสุดในวันที่ 23 มีนาคม 2563 ที่ประเทศไทยประกาศล็อกดาวน์ โดยสาเหตุหลักของการฟื้นตัวมาจากมาตรการผ่อนคลายของนโยบายทางการเงินจากธนาคารกลางทั่วโลก นโยบายการคลังที่ทยอยออกมาเพื่อเยียวยาภาคการจ้างงาน ซึ่งได้รับผลกระทบจากการล็อกดาวน์ จำนวนผู้ติดเชื้อภายในประเทศและยุโรปลดลง รวมถึงองค์การกลุ่มประเทศผู้ส่งน้ำมันออก (โอเปก) รัสเซีย และสหรัฐฯ กลับมาเจรจาเพื่อลดกำลังการผลิตเพื่อรับมือกับอุปสงค์ที่ลดลงจากโควิด-19 ซึ่งคาดว่าปัจจัยเหล่านี้จะส่งผลให้เศรษฐกิจภายในประเทศสามารถเดินหน้าต่อได้บ้างส่วน และจะฟื้นตัวอย่างเต็มที่ในช่วงไตรมาสที่ 4 จึงนับว่าเป็นจังหวะการลงทุนที่ดีที่สุดในรอบ 10 ปี

“ตลาดหุ้นจีน แม้ว่าตัวเลขการส่งออกในเดือนมีนาคม ที่ผ่านมาจะลดลง แต่ในปัจจุบันสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ในจีนเริ่มคลี่คลาย ทำให้รัฐบาลกลับมาประกาศเปิดเมืองอีกครั้ง ประกอบกับธนาคารกลางจีนได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยโครงการเงินกู้ระยะกลาง 1 ปีลง และอัดฉีดสภาพคล่องผ่านโครงการดังกล่าวเพิ่มเติมอีก 100,000 ล้านหยวน ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ส่งผลให้เศรษฐกิจของจีนจะค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้น แม้ว่าอาจจะถูกกดดันจากอุปสงค์โลกที่อ่อนแอหลังจากการระบาดของโควิด-19 ที่แพร่ระบาดทั่วโลก โดยเฉพาะสหรัฐฯ และยุโรป ซึ่งเป็นคู่ค้าหลักของจีน สำหรับตลาดทองคำนั้น การลงทุนในทองคำจะช่วงกระจายความเสี่ยงในพอร์ตได้ โดยในช่วงที่ผ่านมาธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายนอกรอบการประชุมเป็นครั้งที่ 2 และประกาศทำมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (คิวอี) ผ่านการซื้อพันธบัตรรัฐบาลและตราสารการเงินที่ผู้ซื้อลงทุนในสินเชื่อที่อยู่อาศัยอย่างไม่จำกัด ประกอบกับมาตราการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการปล่อยกู้วงเงิน 2.3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ จึงส่งผลให้ราคาในปัจจุบันสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยนักลงทุนที่ลงทุนในทองคำโดยตรง ควรระมัดระวัง เนื่องจากมีนักลงทุนเข้าไปเก็งกำไรสูงขึ้น” นายณรงค์ศักดิ์กล่าว

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image