กนอ.ลดเป้าขายที่ดินปีนี้หลังโควิดพ่นพิษ เตรียมมาตรการช่วยเอสเอ็มอี

กนอ.ลดเป้าขายที่ดินปีนี้หลังโควิดพ่นพิษ เตรียมมาตรการช่วยเอสเอ็มอี พร้อมหารือกรมชลฯ แก้วิกฤตแล้งภาคตะวันออกช่วยโรงงานในนิคมฯ

น.ส.สมจิณณ์ พิลึก ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(กนอ.) เปิดเผยว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่อาจส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจอย่างรุนแรง โดยเฉพาะครึ่งหลังของปี 2563 ที่นักลงทุนยังมีความกังวลต่อสถานการณ์ดังกล่าว กนอ.ได้มีการปรับเป้าหมายการเพิ่มพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมภายใต้การกำกับดูแลของกนอ.ลงเหลือประมาณ 2,000-2,500ไร่ ต่อปี จากเดิมที่ตั้งเป้า ประมาณ 3,000-3,500 ไร่ต่อปี นอกจากนี้ กนอ.เตรียมเสนอมาตรการช่วยเหลือกลุ่มเอสเอ็มอี และผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรมต่อคณะกรรมการ กนอ.ให้ความเห็นชอบ เพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนให้กับผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรม นอกจากนี้หลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 จบลง กนอ.เตรียมปรับแผนเชิงรุกมากขึ้นเพื่อดึงดูดนักลงทุน โดยเฉพาะแผนบริหารจัดการน้ำทั้งระบบในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ อีอีซี ประกอบด้วย 3 จังหวัด (ชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา) เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและรองรับกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการลงทุนที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต

น.ส.สมจิณณ์ กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม ล่าสุดกนอ.ได้ประชุมหารือถึงวิกฤตสถานการณ์น้ำในพื้นที่ภาคตะวันออก ร่วมกับกรมชลประทานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พบว่า จากตัวเลขน้ำสำรองในปัจจุบันมั่นใจว่าสามารถมีใช้ไปจนถึงเดือนมิถุนายนนี้ และจะผ่านภาวะวิกฤติในครั้งนี้ได้ แต่อย่างไรก็ตาม กนอ.ยังคงมีความเป็นห่วงปัญหาในช่วงหลังเดือนมิถุนายนนี้ และในระยะยาวในปีต่อๆไป จึงได้เสนอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันเร่งการผลักดันโครงการวางท่อสูบน้ำจากคลองสะพาน จ.ระยอง เพื่อวางท่อส่งน้ำขนาดใหญ่ 1,800 มิลลิเมตร ซึ่งจะสามารถดึงน้ำเข้ามาเก็บที่อ่างเก็บน้ำประแสร์เพิ่มถึง 5 แสนลูกบาศก์เมตรต่อวัน จากปัจจุบันที่ได้วางท่อสูบน้ำชั่วคราว ขนาด 900 มิลลิเมตร สูบน้ำได้ประมาณ 1.5 แสนลูกบาศก์เมตรต่อวัน ขณะที่มาตรการขอความร่วมมือให้กลุ่มนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดคอมเพล็กซ์ ประกอบด้วย นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด นิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ นิคมอุตสาหกรรมเอเชีย นิคมอุตสาหกรรมอาร์ไอแอล และท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ลดการใช้น้ำลง 10% ในปีนี้ ทำได้ใกล้เคียงเป้าหมายแต่หากเกิดภัยแล้งในปีหน้าขึ้นอีกก็จะเป็นการยากที่จะลดการใช้น้ำลง 10% ได้ตามเป้า เนื่องจากเกิดการขยายโรงงาน และการลงทุนโรงงานใหม่ๆเข้ามาเพิ่มเติม

“ที่ผ่านมา กนอ.ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกันบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ภาคตะวันออก เพื่อให้เพียงพอในช่วงฤดูแล้งมาโดยตลอด ทั้งการเพิ่มนํ้าต้นทุนให้กับ 4 อ่างเก็บน้ำหลัก ประกอบด้วย อ่างเก็บน้ำดอกกราย อ่างเก็บน้ำหนองปลาไหล อ่างเก็บน้ำคลองใหญ่ และอ่างเก็บน้ำประแสร์ ได้แก่ การสูบผันน้ำจากอ่างเก็บน้ำประแกด ลุ่มน้ำวังโตนด จังหวัดจันทบุรี ประมาณ 10 ล้านลูกบาศก์เมตรไปเพิ่มน้ำต้นทุนยังอ่างเก็บน้ำประแสร์ จังหวัดระยอง สร้างระบบสูบกลับชั่วคราวจากคลองสะพาน ปรับปรุงระบบสูบกลับวัดละหารไร่จากแม่นํ้าระยองไปยังอ่างเก็บน้ำหนองปลาไหล รวมทั้งการเพิ่มน้ำต้นทุนในนิคมอุตสาหกรรมโดยการนำน้ำจากคลองชากหมากมาผ่านการบำบัด และนำกลับมาใช้ใหม่ รวมถึงการขอความร่วมมือผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดคอมเพล็กซ์ ปรับลดปริมาณการใช้น้ำลง 10 % แต่ขณะเดียวกันในปีนี้น้ำในภาคตะวันออกมีฝนตกต่ำกว่าค่าเฉลี่ย และมีน้ำไหลลงอ่างลดลงจากเดิมเนื่องจากฝนที่ตกไม่เข้าอ่างเก็บน้ำ ทำให้เรื่องน้ำเป็นปัญหาที่สำคัญจะต้องมีมาตรการแก้ไขที่ชัดเจน ซึ่งคาดว่าในปี 2563-2565 จะมีการตั้งโรงงานเพิ่มประมาณ 2 เท่าตัว และหากมีน้ำไม่เพียงพออาจกระทบต่อการตัดสินใจเข้ามาลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก(อีอีซี)ได้ ขณะที่ความคืบหน้าของการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำวังโตนด อยู่ระหว่างการนำเรื่องเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี โดยหากอ่างเก็บน้ำทั้ง 4 แห่ง ก่อสร้างเสร็จจะสามารถแบ่งปันน้ำเข้าสู่พื้นที่อีอีซีได้ประมาณ 100 – 150ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี”น.ส.สมจิณณ์กล่าว

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image