เอกชนวอนรัฐปรับผังเมืองเอื้อ’บีซีจี-โรงไฟฟ้าชุมชน’เพื่อเศรษฐกิจฐานราก

กลุ่มพลังานหมุนเวียนส.อ.ท.จ่อผลักดันรัฐปรับผังเมืองเอื้อเดินหน้าโมเดลเศรษฐกิจบีซีจี-โรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานราก หวั่นโครงการประเภททั่วไปที่ต้องสร้างโรงไฟฟ้าใหม่บางจังหวัดเจออุปสรรคใหญ่เกิดไม่ได้เพราะติดพื้นที่สีเขียว ลุ้นกกพ.ประกาศรับซื้อควิกวิน 100 เมกะวัตต์ก่อนลุยร่างระเบียบ-หลักเกณฑ์ประเภททั่วไปอีก 600 เมกะวัตต์ปีนี้ หวังบูมศก.ลดผลกระทบโควิด-19

นายนที สิทธิประศาสน์ รองประธานกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า จากนโยบายภาครัฐที่มุ่งเน้นการเปลี่ยนรูปแบบเศรษฐกิจไปสู่รูปแบบใหม่ หรือ บีซีจี โมเดลที่ประกอบด้วย เศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว แต่พบอุปสรรคหนึ่งสำคัญคือผังเมืองที่ไม่เอื้อต่อการพัฒนาธุรกิจที่เกี่ยวข้องเพราะบางจังหวัดห้ามดำเนินกิจกรรมหรือตั้งโรงงานในพื้นที่สีเขียว(ที่ดินประเภทชนบทและเกษตรกรรม) ดังนั้นกลุ่มพลังงานหมุนเวียนจึงเตรียมรวบรวมข้อมูลที่จะเสนอไปยังส.อ.ท.ให้ผลักดันต่อภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาปรับปรุงต่อไป

“ตัวอย่างโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานรากที่กระทรวงพลังงานต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจ มีเป้าหมายเป็นโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนขนาดเล็กให้แต่ละชุมชนมีส่วนร่วมและถือหุ้น ใช้วัสดุทางการเกษตรเป็นเชื้อเพลิง หรือการส่งเสริมปลูกพืชพลังงานมาเป็นเชื้อเพลิง การตั้งโรงไฟฟ้าใหม่จะมีอุปสรรคผังเมืองหลายพื้นที่เพราะกำหนดไม่ให้ดำเนินกิจกรรมใดๆในพื้นที่สีเขียวที่เป็นภาคเกษตร แต่ข้อเท็จจริงเมื่อธุรกิจต้องเชื่อมโยงกับภาคธุรกิจย่อมก็ต้องตั้งอยู่ใกล้กัน อีกตัวอย่างหนึ่งคือการผลิตก๊าซชีวภาพ หรือ ไบโอก๊าซ ที่นำพืชมาหมักพอได้ก๊าซฯจะอัดลงถังจะอยู่ในพื้นที่สีเขียวไม่ได้ ซึ่งกิจกรรมส่วนใหญ่ล้วนเป็นพลังงานสะอาดจึงควรจะทบทวน”นายนทีกล่าว

นายนที กล่าวว่า สำหรับโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานรากที่นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ผลักดันให้เกิดขึ้นเป็นนโยบายที่ดีและเอกชนหวังว่าการออกทีโออาร์รับซื้อประเภทโครงการระยะเร่งด่วนหรือควิก วิน ไม่เกิน 100 เมกะวัตต์จะเกิดขึ้นโดยเร็วที่สุด จากนั้นหวังว่ากระทรวงพลังงานจะผลักดันการร่างระเบียบ หลักเกณฑ์เงื่อนไขการรับซื้อในส่วนของโครงการประเภททั่วไปในปีนี้อีก 600 เมกะวัตต์ เนื่องจากโรงไฟ้ฟ้าที่เกิดใหม่จะใช้เวลาในการพัฒนา 1-2 ปีซึ่งจะไปจ่ายไฟฟ้าได้ในช่วงปี 2564-66

นายนที กล่าวว่า เดิมกระทรวงพลังงานเองระบุว่าทางคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน(กกพ.)จะเปิดทีโออาร์รับซื้อไฟฟ้าควิกวินภายในเมษายน แต่อาจติดขัดระเบียบบางอย่างแต่คิดว่ารัฐกำลังเร่งและน่าจะเปิดได้ในเร็วๆ นี้ ซึ่งโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานรากหากรัฐเร่งให้เกิดขึ้นระยะแรกก่อน 700 เมกะวัตต์ จะส่งเสริมให้เกิดการเงินหมุนเวียนระบบเศรษฐกิจประมาณ 4.5 หมื่นล้านบาทต่อปี จะเป็นเครื่องมือสำคัญกระตุ้นเศรษฐกิจไทยท่ามกลางการระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่จะทำให้เศรษฐกิจไทยชะลอตัวลง

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image