‘ไออาร์พีซี’ รับราคาน้ำมันดิ่ง ฉุดงบไตรมาส 1/63 ขาดทุนยับ 8,905 ล้านบาท

นายนพดล ปิ่นสุภา กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC เปิดเผยว่า จากวิกฤตการแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลต่อธุรกิจในช่วงที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้มีการปรับตัวให้ทันกับสถานการณ์ โดยกำหนดมาตรการต่างๆ ที่สามารถตอบสนองต่อนโยบายรัฐ เพื่อรักษาสุขอนามัยของบุคลากรบริษัทฯ และบริหารจัดการความต่อเนื่องในธุรกิจ ด้วยความพร้อมด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและอุปกรณ์ เพื่อดูแลตลอดห่วงโซ่ธุรกิจให้ดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย บริษัทฯ ได้จัดตั้งคณะทำงาน Crisis Management และ Planning Ahead โดยคณะทำงาน Crisis Management จะติดตามสถานการณ์ธุรกิจ พร้อมกำหนดนโยบายและตัดสินใจดำเนินการได้อย่างรวดเร็วทันเหตุการณ์ โดยทำงานคู่ขนานกับคณะทำงาน Planning Ahead ที่บริหารจัดการฟื้นฟูธุรกิจหลังภาวะวิกฤตและมองหาโอกาสใหม่ทางธุรกิจที่รองรับเทรนด์และพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปในอนาคต

นายนพดลกล่าวว่า สำหรับภารกิจสำคัญเพื่อสนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์และประชาชน ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด–19 บริษัทฯ ได้มีการพัฒนาต่อยอดชุดพีพีอี อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล ผลิตจากผ้าสปันบอนด์ ที่สามารถป้องกันสารคัดหลั่งและเลือดไม่ให้ซึมผ่าน ด้วยต้นทุนในการผลิตถูกกว่าการนำเข้าจากต่างประเทศถึง 60% รวมทั้งพัฒนานวัตกรรมพลาสติกคลุมเตียงเคลื่อนย้ายผู้ป่วยติดเชื้อแบบแรงดันลบ โดยใช้วัตถุดิบผ้ากระสอบพลาสติกผลิตจากเม็ดพลาสติกโพลีโพรพิลีนเกรดพิเศษ ที่มีคุณสมบัติเหนียว แข็งแรงทนทานสูง ด้วยต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่าพลาสติกที่นำเข้าจากต่างประเทศถึงเกือบ 3 เท่าตัว จากความสำเร็จต่างๆ ดังกล่าว นำไปสู่ความร่วมมือในการลงนามบันทึกความเข้าใจ (เอ็มโอยู) ร่วมกับคณะแพทยศาสตร์ วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราชในการสร้างห้องปฏิบัติการตรวจสอบมาตรฐานของผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในการแพทย์ เพื่อยกระดับการสร้างองค์ความรู้และการวิจัยภายในประเทศ พร้อมทั้งสนับสนุนให้เกิดการผลิตวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์ในประเทศทดแทนการนำเข้า

นายนพดลกล่าวว่า อย่างไรก็ตาม จากสถานการณ์ที่เศรษฐกิจทั่วโลกได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่อง ทั้งสงครามการค้าทำให้ราคาน้ำมันดิบลดลงอย่างรวดเร็วและวิกฤตการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้ผลประกอบการในไตรมาสที่ 1 ปี 2563 เมื่อเทียบกับไตรมาส 4/2562 บริษัทฯ มีกำไรขั้นต้นจากการผลิตตามราคาตลาด อยู่ที่ 3,665 ล้านบาท(6.82 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล) เพิ่มขึ้น 2% จากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีปรับตัวสูงขึ้น แต่ราคาน้ำมันดิบได้ปรับตัวลดลงอย่างมาก จาก 67.3 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ในช่วงต้นไตรมาสลดลงมาอยู่ที่ 23.4 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ในช่วงสิ้นไตรมาสเป็นผลจากสภาวะอุปทานล้นตลาด เนื่องจากกลุ่มโอเปกและพันธมิตรไม่สามารถบรรลุข้อตกลงในการปรับลดกำลังการผลิต ประกอบกับการหยุดทำกิจกรรมทางเศรษฐกิจและมาตรการล็อกดาวน์ของทุกประเทศ ทำให้บริษัทฯ มีผลขาดทุนจากสต๊อกน้ำมันสุทธิรวม 6,811 ล้านบาท หรือ 12.66 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ส่งผลให้บริษัทฯ มีผลขาดทุนขั้นต้นจากการผลิตทางบัญชี จำนวน 3,146 ล้านบาท หรือ 5.84 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลเทียบกับไตรมาสก่อนที่มีกำไรขั้นต้นจากการผลิตทางบัญชีจำนวน 4,341 ล้านบาท ส่งผลให้ผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/2563 บริษัทฯ มีผลขาดทุนสุทธิ 8,905 ล้านบาท เทียบกับไตรมาสก่อน มีผลขาดทุนสุทธิ 513 ล้านบาท

สถานการณ์ราคาน้ำมันดิบในไตรมาส 2 ปีนี้ คาดว่ายังทรงตัวในระดับต่ำต่อเนื่องจากสิ้นไตรมาส 1 จะเป็นปัจจัยบวกส่งผลให้ต้นทุนทางการผลิตลดลง จากการได้รับประโยชน์จากราคาประกาศของ Saudi Aramco ที่มีส่วนลด(discount) ประมาณ 7 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ในเดือนพฤษภาคม ซึ่งในปัจจุบันสัดส่วนน้ำมันดิบที่บริษัทฯ สั่งซื้อมาจาก Saudi Aramco มีประมาณ 40% ของปริมาณการสั่งซื้อน้ำมันดิบทั้งหมด บริษัทฯได้มีการการบริหารต้นทุน และประสิทธิภาพการผลิตอย่างเคร่งครัด เพื่อให้มั่นใจว่าบริษัทฯ จะมีสภาพคล่องเพียงพอในการดำเนินธุรกิจท่ามกลางสถานการณ์ปัจจุบัน” นายนพดลกล่าว

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image