ป.ป.ส.รวบนศ.มหาลัยเอกชน ย่านนนทบุรีใช้บิตคอยน์สั่งซื้อยาอีส่งจากต่างประเทศ ค้นห้องพักพบเครื่องอัดเม็ดขายเดือนละ3หมื่นเม็ด
วันที่ 13 พฤษภาคม ที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด(ป.ป.ส)-นายนิยม เติมศรีสุข เลขาธิการป.ป.ส. เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 8-10 พฤษภาคม 2563 ที่ผ่านมาสำนักงาน ป.ป.ส. ร่วมกับหน่วยงานภาคีภายใต้ภารกิจสกัดกั้นการลำเลียงยาเสพติดผ่านท่าอากาศยาน (Airport Interdiction Taskforce : AITF) กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด กรมศุลการกร และศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ ทำการสืบสวนติดตามและจับวัยรุ่นชายวัย 18 ปี 1 คน ซึ่งเป็นนักศึกษาของวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่งใน จ.นนทบุรี พร้อมยาอี 10,000 เม็ดที่ส่งมาทางพัสดุจากเนเธอร์แลนด์ สั่งซื้อของผ่านทางอินเตอร์เน็ตโดยใช้เงินสกุลบิตคอยน์
จากการสอบสวนพบว่า ผู้ต้องหาได้สั่งซื้อยาอีเข้ามารวม 35,000 เม็ด และแบ่งการขนส่งออกเป็นสองส่วน ส่วนแรก 10,000 เม็ด ซึ่งถูกจับยึดในครั้งนี้ ส่วนที่สองอีกจำนวน 25,000 เม็ดยังอยู่ระหว่างการขนส่งโดยพัสดุทางอากาศ และเจ้าหน้าที่จะทำการจับยึดเพิ่มเติมเมื่อเดินทางมาถึง
นายนิยม กล่าวว่า จากการตรวจค้นห้องพักของผู้ต้องหาภายในอพาร์ทเม้นท์ ซึ่งเป็นห้องเช่าในย่านรัตนาธิเบศร์ พบเครื่องอัดเม็ดยาอี หัวตอก เครื่องชั่งน้ำหนัก ไอซ์ และผงผสมอัดเม็ดยาอีซุกซ่อนในห้องดังกล่าว
โดยผู้ต้องหาให้รับสารภาพว่าพยายามที่จะอัดเม็ดยาอีออกมาจำหน่ายเองแทนการสั่งซื้อจากต่างประเทศ ส่วนยาอีที่สั่งเข้ามาจะนำไปจำหน่ายให้กับลูกค้าที่ส่วนใหญ่จะเป็นนักเที่ยวกลางคืนและเยาวชนวัยเดียวกันในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล โดยทำการค้ายาเสพติดดังกล่าวมาตั้งแต่ปี 2559 และสั่งเข้ามาขายเฉลี่ยเดือนละ 20,000 – 30,000 เม็ด ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ได้ใช้เวลาติดตามพฤติกรรมของผู้ต้องหารายนี้ตั้งแต่วันที่ 8-10 พ.ค.ที่ผ่านมา
เลขาฯป.ป.ส. กล่าวอีกว่า สำหรับยาอีที่ลักลอบขายในไทยทั้งหมดนำเข้าจากต่างประเทศ เครือข่ายยาอีที่นอกจากจะพบนักค้าชาวไทย ยังมีกลุ่มชาวแอฟฟริกันตะวันตก ชาวรัสเซีย และชาวจีน ร่วมกับคนไทย กระบวนการค้าจะทำโดยใช้การสั่งซื้อจากเว็ปไซด์ใต้ดิน โดยประเทศแหล่งต้นทางจะอยู่ทางทวีปยุโรป ใช้เงินดิจิทอลทำการซื้อขาย และใช้การจัดส่งทางพัสดุไปรษณีย์ระหว่างประเทศ ในห้วงครึ่งปีแรกของปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 จับกุมได้ 25 คดี ผู้ต้องหา 22 คน ของกลางยาอีรวม 268,312 เม็ด ส่วน ใหญ่มาจากเยอรมนี มากที่สุดรวม 15 คดี รองลงมา ได้แก่ เนเธอร์แลนด์ 3 คดีโปรตุเกส 3 คดี ฝรั่งเศส 2 คดี เบลเยี่ยมและสโลเวเนีย อีกประเทศละ 1 คดี
