‘ไทยอุตสาหกรรมพลาสติก’ วางกลยุทธ์รับยุคโควิด-19 เชื่อครึ่งปีหลังกำลังซื้อกลับมา

‘ไทยอุตสาหกรรมพลาสติก’ วางกลยุทธ์รับยุคโควิด-19 เชื่อครึ่งปีหลังกำลังซื้อกลับมา

 นายธีระชัย ธีระรุจินนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยอุตสาหกรรมพลาสติก (1994) จำกัด (มหาชน) หรือ TPLAS เปิดเผยว่า จากสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา ส่งผลให้ภาคเศรษฐกิจการลงทุน มีการชะลอตัวลดลงอย่างเห็นได้ชัด ขณะที่กำลังซื้อผู้บริโภคก็ปรับตัวลดลงตาม

 จากประเด็นดังกล่าว บริษัทฯมีการปรับกลยุทธ์ทางการตลาด โดยศึกษาความต้องการของผู้บริโภคเกี่ยวกับบรรจุภัณฑ์เพิ่มมากขึ้น  ปรากฏว่า ความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์ประเภทพลาสติกถนอมอาหาร หรือฟิล์มยืดห่อหุ้มอาหาร รวมถึงบรรจุภัณฑ์ประเภทถุงใส่อาหาร ยังคงมีความต้องการอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าในช่วงนี้อาจจะมีการชะลอตามกำลังซื้อลงไปบ้าง ขณะเดียวกันความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ประเภทบรรจุภัณฑ์กล่องอาหาร รักษ์สิ่งแวดล้อม ก็มีความต้องกันเพิ่มสูงขึ้นเช่นเดียวกัน

 จากความต้องการของผลิตภัณฑ์ดังกล่าว ส่งผลให้บริษัทฯหาโอกาสในการเพิ่มช่องเร่งขยายไลน์การผลิต เพื่อรองรับความต้องการของตลาดผู้บริโภค ทำให้ในระยะแรก บริษัทฯสั่งเร่งผลิตบรรจุภัณฑ์กล่องอาหาร ภายใต้ตราสินค้า “B-LEAF” จำนวน 650,000 กล่องต่อเดือน พร้อมตั้งเป้ายอดขายจากโปรดักส์ดังกล่าว ในปีแรกไว้ที่ประมาณ 30 ล้านบาท และคาดว่าจะทยอยเพิ่มกำลังการผลิตในอนาคต เพื่อต่อยอดรายได้ในอนาคต

 นอกจากแผนในการขยายไลน์ผลิตดังกล่าวแล้ว บริษัทฯยังได้ศึกษาแผนในการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ เพิ่มขึ้นอีก 1-2 ผลิตภัณฑ์ ซึ่งคาดว่าจะสามารถได้ข้อสรุปภายในเร็วๆ นี้ โดยผลิตภัณฑ์ใหม่ที่จะเพิ่มขึ้น จะเป็นผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพื่อเสริมผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่ในปัจจุบันให้มีความหลากหลายมากขึ้น

Advertisement

 นายธีระชัยกล่าวว่า สำหรับผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 1/2563 สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2563 บริษัทฯ มีรายได้รวม110.31 ล้านบาท ลดลง 27.64 ล้านบาท หรือคิดเป็น 20.04% และมีกำไรสุทธิ 6.10 ล้านบาท ลดลง 4.48 ล้านบาท หรือคิดเป็น 42.37% เมื่อเทียบจากปีก่อน โดยสาเหตุที่ภาพรวมผลการดำเนินงานปรับตัวลดลง เนื่องจากกำลังซื้อของผู้บริโภคชะลอตัว ซึ่งเป็นผลมาจากสถานการณ์โควิด-19 ที่เข้ามาเป็นตัวแปรหลักที่ทำให้มีลุ่มผู้บริโภคมีความระมัดระวังการเรื่องใช้จ่ายมากขึ้น แต่หากพิจารณาด้านมาร์จิ้นในไตรมาสดังกล่าวแล้ว จะเห็นได้ว่าบริษัทฯ สามารถรักษาระดับการเติบโตได้เท่ากับไตรมาสเดียวกันปีที่แล้วที่ระดับ 19% พร้อมทั้งเชื่อว่า ในช่วงครึ่งปีหลังจากกำลังซื้อจะมีโอกาสกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ภายใต้มาตรการการผ่อนคลายโควิด-19

 “ในไตรมาสแรกต้องยอมรับว่า มีปัจจัยกดดันหลายๆ ด้าน อาทิ การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจภาพรวมชะลอตัวลงไปอีก จากเดิมที่แทบจะไม่มีกำลังซื้ออยู่แล้ว ทำให้มีการแข่งขันด้านราคามากขึ้น แต่บริษัทฯมีความแข็งแกร่งในด้านฐานลูกค้าเดิมที่ยังคงสั่งสินค้าต่อเนื่องไม่ได้หนีหายไปไหน จึงทำให้ยอดขายของบริษัทฯไม่ได้รับผลกระทบมากนักเมื่อเทียบกับธุรกิจอื่นนายธีระชัยกล่าว

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image