กัลฟ์โชว์กำไรไตรมาสแรกโต 38% มั่นใจปี 70 ผลิตไฟฟ้า 7,781 เมกะวัตต์

กัลฟ์โชว์กำไรไตรมาสแรกโต38% เร่งลงทุนตามแผนทั้งโรงไฟฟ้า-ท่าเรือ-มอเตอร์เวย์ ตั้งเป้าปี70ผลิตไฟฟ้า 7,781 เมกะวัตต์ ยันโควิดไม่กระทบ เล็งลงทุนพลังงานทดแทน-ก๊าซธรรมชาติ-สาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานเพิ่มเติม พร้อมออกหุ้นกู้10,000ล้านบาทกลางปีนี้

น.ส.ยุพาพิน วังวิวัฒน์ กรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงินบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานประจำไตรมาส 1 ปี 2563 สิ้นสุด ณ วันที่ 31 มีนาคม 2563 มีกำไรจากการดำเนินงาน 925 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 38% เทียบกับไตรมาส 1 ปี 2562 จากการที่โครงการโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่(ไอพีพี) ทั้ง 2 โครงการ ได้แก่ โรงไฟฟ้าหนองแซง และ โรงไฟฟ้าอุทัย รวม 3,200 เมกะวัตต์ ได้รับค่าความพร้อมจ่ายมากขึ้น ประกอบกับกลุ่มโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก(เอสพีพี)ทั้งหมดสามารถขายไฟฟ้าให้ลูกค้าอุตสาหกรรมมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีต้นทุนค่าก๊าซธรรมชาติลดต่ำลง จาก 282 บาท / ล้านบีทียู ในไตรมาส 1 ปี 2562 เป็น 267 บาท / ล้านบีทียู ในไตรมาส 1 ปี 2563 ในขณะที่ค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ(เอฟที)เท่าเดิม ทำให้บริษัทฯ มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงขึ้น

นอกจากนี้ ในไตรมาส 1 ปี 2563 ยังมีการรับรู้รายได้เต็มไตรมาสจากการเปิดดำเนินการของเอสพีพี 12 โครงการ เมื่อเทียบกับ 10 โครงการในไตรมาส 1 ปี 2562 และจากการรับรู้เต็มไตรมาสของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่เวียดนาม จำนวน 2 โครงการ อีกทั้ง รับรู้รายได้จากโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวล กัลฟ์ จะนะ กรีน ที่ได้เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในวันที่ 1 มีนาคม 2563 ที่ผ่านมา ทำให้ ณ สิ้นไตรมาส 1 ปี 2563 มีโครงการโรงไฟฟ้าที่เปิดดำเนินการแล้วทั้งสิ้นตามสัดส่วนการถือหุ้นเท่ากับ 2,726 เมกะวัตต์ หรือเพิ่มขึ้น 249 เมกะวัตต์ เมื่อเทียบกับ 2,477 เมกะวัตต์ในไตรมาส 1 ปี 2562

สำหรับโครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้างมีความคืบหน้าเป็นไปตามแผนงาน โดยไอพีพีทั้ง 2 โครงการ ได้แก่โรงไฟฟ้าศรีราชา และโรงไฟฟ้าปลวกแดง รวม 5,300 เมกะวัตต์ มีกำหนดที่จะเปิดดำเนินการตามแผนระหว่างปี 2564 ถึง 2567 โครงการโรงไฟฟ้าหินกอง ซึ่งเป็นไอพีพี ขนาด 1,400 เมกะวัตต์ จะเริ่มก่อสร้างในปี 2564 และมีกำหนดเปิดดำเนินการตามแผนในปี 2567 และ 2568 โครงการโรงไฟฟ้าบูรพาพาวเวอร์ ซึ่งเป็นไอพีพี ขนาด 540 เมกะวัตต์ จะเริ่มก่อสร้างในปี 2567 และมีกำหนดเปิดดำเนินการตามแผนในปี 2570 โดยหลังจากที่ทุกโครงการเปิดดำเนินการแล้ว กำลังการผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้นจะเพิ่มขึ้นเป็น 7,781 เมกะวัตต์

Advertisement

ส่วนการพัฒนาโครงการสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน เช่น โครงการท่าเรือมาบตาพุด เฟส 3 โครงการท่าเรือแหลมฉบัง เฟส 3 (ท่าเทียบเรือ F) มีความคืบหน้าเป็นไปตามแผนการที่วางไว้ ด้านโครงการมอเตอร์เวย์สายบางปะอิน-นครราชสีมา (M6) และสายบางใหญ่-กาญจนบุรี (M81) คาดว่าจะมีการลงนามสัญญาพีพีพีในเดือนมิถุนายน 2563

น.ส.ยุพาพิน กล่าวว่า สำหรับผลกระทบจากโควิด-19ในภาพรวมทั้งปี บริษัทฯ คาดว่าจะไม่มีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อผลประกอบการ เนื่องจากรายได้ส่วนใหญ่ประมาณ 90% ขายให้ กฟผ. มีเพียงแค่ 10% ที่ขายให้ลูกค้าอุตสาหกรรม โดยในไตรมาส 1 ปี 2563 ลูกค้าอุตสาหกรรมโดยรวมยังไม่ได้รับผลกระทบ และบริษัทฯ ยังมีรายได้จากการไฟฟ้าให้กับกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น 6% จากไตรมาสก่อนอีกด้วย นอกจากนี้ ลูกค้าอุตสาหกรรมยังมีการกระจายตัวอยู่ในหลากหลายกลุ่มอุตสาหกรรมและบริษัทฯ ยังมีการขยายฐานลูกค้าอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม เฟส 1 ขนาด 30 เมกะวัตต์ ที่เวียดนาม ได้มีการเลื่อนกำหนดการเปิดดำเนินการจากสิ้นปี 2563 ไปเป็นพฤษภาคม 2564 เนื่องจากข้อจำกัดเรื่องการเดินทางของผู้รับเหมาจากประเทศจีนช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทั้งนี้โครงการยังคงได้รับค่าไฟฟ้าในอัตรา 9.8 เซนต์สหรัฐต่อกิโลวัตต์ – ชั่วโมง (c/kWh) ตามแผน

“บริษัทฯ ยังมองหาโอกาสในการลงทุนทั้งในและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง เช่น ธุรกิจพลังงานทดแทน ธุรกิจก๊าซธรรมชาติ และธุรกิจสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน โดยบริษัทฯ มีแผนที่จะใช้กระแสเงินสด รวมถึงการกู้ยืมจากสถาบันการเงิน หรือการออกหุ้นกู้ เพื่อรองรับการขยายธุรกิจดังกล่าว โดยมีแผนที่จะออกหุ้นกู้ประมาณ 10,000 ล้านบาทกลางปีนี้ เนื่องจากอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุนของบริษัทฯ ยังคงอยู่ในระดับที่ต่ำ 1.51 เท่า”น.ส.ยุพาพินกล่าว

Advertisement

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image