ศาลเลื่อนสอบคดี ‘บรรยิน-พวก’ อุ้มฆ่าพี่ชายผู้พิพากษาข่มขู่คดีเป็น 22 พ.ค.

ศาลเลื่อนสอบคำให้การคดี ‘บรรยิน-พวก’ อุ้มฆ่าพี่ชายผู้พิพากษาข่มขู่คดีเป็น 22 พ.ค.นี้ เหตุจำเลยที่ 3-6 ขอเวลาตั้งทนาย ขณะที่ทนายบรรยิน ขอยื่นบัญชีพยานไม่เกิน 22 มิ.ย.

เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 19 พ.ค.63 ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ถนนนครไชยศรี
ศาลสอบคำให้การจำเลยในเรือนจำ ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ คดีหมายเลขดำ อท.69/2563 อุ้มฆ่าพี่ชายผู้พิพากษาอดีตเจ้าของสำนวนโอนหุ้นเสี่ยชูวงษ์ ที่พนักงานอัยการสำนักงานคดีปราบปรามการทุจริต 3 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง พ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์ อายุ 56 ปี อดีต รมช.พาณิชย์, นายมานัส ทับทิม อายุ 67 ปี, นายณรงค์ศักดิ์ ป้อมจันทร์ อายุ 48 ปี, นายชาติชาย เมณฑ์กูล อายุ 31 ปี, นายประชาวิทย์ หรือตูน ศรีทองสุข อายุ 33 ปี, ด.ต.ธงชัย หรือ สจ.อ๊อด วจีสัจจะ อายุ 63 ปี ทั้งหมดภูมิลำเนา จ.นครสวรรค์ เป็นจำเลยที่ 1-6 ในความผิด 9 ข้อหา ฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนเพื่อปกปิดความผิดอื่นของตนหรือเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญาในความผิดอื่นที่ตนได้กระทำไว้ ตามประมวลกฎหมายอาญา (ป.อ.) มาตรา 289, ฐานร่วมกันหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้ใดเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่ เป็นเหตุให้ผู้ถูกเอาตัวไปถึงแก่ความตาย มาตรา 309, 313, ฐานร่วมกันหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่นเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย มาตรา 310, ฐานร่วมกันข่มขืนใจเจ้าพนักงานให้ปฏิบัติการอันมิชอบด้วยหน้าที่ โดยใช้กำลังประทุษร้ายโดยร่วมกันกระทำผิดตั้งแต่ 3 คนขึ้นไป มาตรา 139, 140, ฐานเป็นซ่องโจร โดยสมคบกันเพื่อกระทำผิดที่มีระวางโทษประหารชีวิต มาตรา 210, ฐานร่วมกันพยายามข่มขืนใจผู้อื่น ให้กระทำการใดโดยร่วมกันกระทำผิดตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป มาตรา 213, ฐานร่วมกันซ่อนเร้น ทำลายศพเพื่อปิดบังการตายและสาเหตุการตาย มาตรา 199, ฐานร่วมกันกระทำการใดๆ แก่ศพก่อนการชันสูตรพลิกศพเสร็จสิ้นเพื่ออำพรางคดี ตามประมวลวิธีพิจารณาความอาญา (ป.วิ.อ.) มาตรา 150 ทวิ, ฐานร่วมกันแสดงตนเป็นเจ้าพนักงานและกระทำการเป็นเจ้าพนักงาน มาตรา 145 ประกอบ ป.อ.มาตรา 33, 80, 83, 91, 92 และยังยื่นฟ้อง พ.ต.ท.บรรยิน จำเลยที่ 1 ข้อหาที่ 10 ฐานสวมเครื่องแบบหรือประดับเครื่องหมายของเจ้าพนักงาน เพื่อให้คนอื่นเข้าใจว่าตนมีสิทธิและแต่งเครื่องแบบตำรวจโดยไม่มีสิทธิเพื่อกระทำผิดอาญา มาตรา 146 พร้อมทั้งขอให้นับโทษ พ.ต.ท.บรรยิน จำเลยที่ 1 ต่อจากโทษจำคุกของศาลอาญากรุงเทพใต้ ในคดีหมายเลขแดง 636/2563 คดีปลอมเอกสารโอนหุ้นนายชูวงษ์ แซ่ตั๊ง (ศาลชั้นต้นพิพากษาเมื่อวันที่ 20 มี.ค.63 ให้จำคุก 8 ปี ) และคดีฆ่าเสี่ยชูวงษ์หมายเลขดำ 4915/2559 ของศาลอาญาพระโขนง (คดีฆาตกรรมเสี่ยชูวงษ์ ยังอยู่ระหว่างพิจารณาของศาล) กับขอให้ศาลเพิ่มโทษนายณรงค์ศักดิ์ จำเลยที่ 3 ในอัตราส่วน 1 ใน 3 ด้วย เนื่องจากก่อนคดีนี้จำเลยที่ 3 ต้องคำพิพากษาถึงที่สุดซึ่งมีโทษจำคุกกำหนด 3 ปี 6 เดือน และปรับ 20,000 บาทฐานร่วมกันมียาเสพติดให้โทษไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 537/2558 ของศาลจังหวัดนครสวรรค์ ซึ่งจำเลยที่ 3 พ้นโทษในคดีดังกล่าวเมื่อวันที่ 16 มิ.ย.60 และได้กลับมากระทำความผิดในคดีนี้อีกภายในเวลา 5 ปีนับจากที่พ้นโทษคดีเดิม

โดยอัยการสำนักงานคดีปราบปรามการทุจริต 3 ได้ยื่นฟ้องจำเลยทั้งหก เมื่อวันที่ 18 พ.ค.63 ที่ผ่านมา ระหว่างที่จำเลยที่ 1-6 ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ซึ่งถูกคุมขังตั้งแต่ชั้นฝากขังเมื่อวันที่ 25 ก.พ.63 เนื่องจากศาลไม่ได้ให้ประกันตัวเพราะเกรงว่าจะหลบหนี

สำหรับคำฟ้องระบุพฤติการณ์ สรุปว่า เมื่อวันที่ 7 ม.ค.- 4 ก.พ.63 จำเลยที่ 1-6 ร่วมกันสมคบวางแผนแบ่งหน้าที่ และตกลงร่วมกันที่จะใช้กำลังประทุษร้ายเอาตัวนายวีรชัย ศกุนตะประเสริฐ พี่ชายของผู้พิพากษาซึ่งเป็นองค์คณะและเจ้าของสำนวนคดีปลอมเอกสารโอนหุ้นเสี่ยชูวงษ์ ไปหน่วงเหนี่ยวกักขังและเป็นข้อต่อรองเรียกค่าไถ่โดยข่มขืนใจให้ผู้พิพากษาซึ่งเป็นเจ้าพนักงานให้ปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ โดยจำเลยทั้งหก ต้องการให้ผู้พิพากษามีคำพิพากษายกฟ้อง พ.ต.ท.บรรยิน จำเลยที่ 1 ในคดีอาญาหมายเลขดำ 305/2561 ของศาลอาญากรุงเทพใต้ (คดีปลอมเอกสารการโอนหุ้นของนายชูวงษ์ ที่ยื่นฟ้อง พ.ต.ท.บรรยิน และหญิงสาวคนสนิทอีก 2 คนซึ่งเป็นอดีตพริตตี้และอดีตโบรกเกอร์) รวมทั้งจะให้มีคำสั่งในคำพิพากษาให้คืนเงินกับหุ้นทั้งหมดให้ พ.ต.ท.บรรยินจำเลยที่ 1 อันเป็นลักษณะการเรียกค่าไถ่ โดยจำเลยทั้งหกร่วมกันวางแผนใช้รถยนต์ส่วนบุคคล และรถจักรยานยนต์ส่วนบุคคลที่นำแผ่นป้ายทะเบียนของคนอื่นมาติดแทนป้ายทะเบียนที่แท้จริง และใช้โทรศัพท์มือถือหมายเลขที่เปิดใหม่โดยใช้ชื่อบุคคลอื่นในการขอเปิดใช้บริการหมายเลขโทรศัพท์ใหม่นั้น มาใช้เป็นยานพาหนะและเครื่องมือในการติดต่อสื่อสารเพื่อติดตามความเคลื่อนไหวของนายวีรชัยและผู้พิพากษาผู้เสียหาย จนทราบว่านายวีรชัย จะนั่งรถยนต์โดยสารสาธารณะจากบ้านพัก มาส่งผู้พิพากษาเพื่อทำงานตอนเช้าที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ ถ.เจริญกรุง 63 เขตสาทร และตอนเย็นก็จะมารับผู้พิพากษากลับบ้านพักเป็นประจำทุกวัน ซึ่งจำเลยทั้งหกได้ร่วมกันสมคบคิดวางแผน แบ่งหน้าที่กันทำและตกลงร่วมกันที่นำตัวนายวีรชัยไปโดยมีเจตนาฆ่าและทำลายศพด้วยการใช้ไฟเผาด้วยยางรถยนต์ด้วยน้ำมันเชื้อเพลิงที่บริเวณเขาใบไม้ ต.ตาคลี อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ โดยร่วมกันนำแผ่นสังกะสี, น้ำมันเบนซิน, ยางรถยนต์, น้ำเปล่าไปเตรียมรอไว้ ซึ่งจำเลยทั้งหกได้ตกลงกำหนดวันที่จะกระทำการตามที่ร่วมกันวางแผนไว้ในวันที่ 4 ก.พ.63

ต่อมาวันที่ 4 ก.พ.63 พ.ต.ท.บรรยิน จำเลยที่ 1 ซึ่งไม่ได้เป็นเจ้าพนักงานตำรวจและไม่มีสิทธิสวมเครื่องแบบหรือประดับเครื่องหมาย ได้บังอาจสวมเครื่องแบบและประดับเครื่องหมายของเจ้าพนักงานตำรวจ สวมหมวกกันน็อกสีทอง ซึ่งเจ้าพนักงานตำรวจสายตรวจใช้สวมขณะปฏิบัติหน้าที่ เพื่อให้นายวีรชัยและบุคคลอื่นเชื่อว่าจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าพนักงานตำรวจ และเพื่อความสะดวกในการจับตัวนายวีรชัยไปหน่วงเหนี่ยวกักขัง โดย พ.ต.ท.บรรยิน จำเลยที่ 1, นายณรงค์ศักดิ์ ที่ 3, นายชาติชาย ที่ 4, นายประชาวิทย์หรือตูน ที่ 5 ร่วมกันแสดงตัวเป็นเจ้าพนักงานตำรวจกับนายวีรชัย ทั้งที่ตนไม่ได้เป็นเจ้าพนักงาน หลังจากนั้นจำเลยที่ 1, 3, 4, 5 ได้ร่วมกันใช้กำลังล็อกคอ ฉุดลากบังคับพาไปขึ้นรถยนต์ส่วนตัวโตโยต้า สปอร์ตไรเดอร์ สีดำที่ติดป้ายทะเบียน 3 กว.-7719 กรุงเทพมหานคร ที่จอดรถอยู่ริมถนนหน้าอาคารศาลแพ่งกรุงเทพใต้ (ถนนเจริญกรุง 63 อาคารเดียวกับศาลอาญากรุงเทพใต้) ซึ่งรถยนต์นั้นขับมุ่งหน้าไป จ.นครสวรรค์ ระหว่างการเดินทางจำเลยที่ 1, 3, 4, 5 ร่วมกันโทรศัพท์ข่มขู่ผู้พิพากษาให้ยกฟ้องคดีโอนหุ้น ถ้าไม่ยอมจะเอานายวีรชัยไปทิ้ง ถ้าบอกทำไม่ได้จะจัดการเลยรับรองหาซากไม่เจอ ซึ่งขณะนั้นพวกจำเลยเข้าใจว่านายวีรชัยเป็นสามีของผู้พิพากษา โดยจำเลยที่ 1-5 ร่วมกันฆ่านายวีรชัยโดยวิธีการใดไม่ปรากฏชัดเพื่อปกปิดความผิดอื่น

Advertisement

กระทั่งวันที่ 4 ก.พ.63 ช่วงเวลากลางคืน – วันที่ 5 ก.พ.63 เวลากลางคืน หลังจากที่จำเลยทั้งหกร่วมกันกระทำความผิดแล้ว พ.ต.ท.บรรยิน จำเลยที่ 1 และนายณรงค์ศักดิ์ ที่ 3 ได้บังอาจกระทำการกับศพนายวีรชัยด้วยการนำไปที่บริเวณเขาใบไม้ อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ ที่พวกจำเลยได้สมคบวางแผนกันที่จะเผาทำลายศพแล้วจำเลยที่ 1, 3 ร่วมกันนำยางรถยนต์สวมใส่ศพนายวีรชัย และนำน้ำมันเบนซินราดที่ศพก่อนจุดไฟเผา จากนั้นจำเลยที่ 1, 3 ร่วมกันเก็บชิ้นส่วนศพที่เหลือจากการเผาและเศษสิ่งของอื่นๆ ใส่ถุงพลาสติกหลายถุง ไปทิ้งที่ริมถนนสายนิคม-ห้วยตุก ต.นิคมเขาบ่อแก้ว อ.พยุหะคีรี จ.นครสวรรค์ และนำทรัพย์สินของนายวีรชัย กับมือถือ, แผ่นป้ายทะเบียนรถไปทิ้งลงแม่น้ำปิง บริเวณวัดไทรใต้ ต.ปากน้ำโพ อ.เมืองนครสวรรค์ จ.นครสวรรค์ เพื่อทำลายหลักฐาน กระทั่งวันที่ 23 ก.พ.63 ตำรวจจับจำเลยทั้งหก และตรวจยึดรถกับอุปกรณ์ที่เป็นของกลางที่ใช้กระทำผิดได้รวม 217 รายการ ชั้นสอบสวน พ.ต.ท.บรรยิน จำเลยที่ 1, นายมานัส จำเลยที่ 2, ด.ต.ธงชัยหรือ สจ.อ๊อด จำเลยที่ 6 ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา, นายณรงค์ศักดิ์ จำเลยที่ 3 ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา, นายชาติชาย จำเลยที่ 4 และนายประชาวิทย์ หรือตูน จำเลยที่ 5 ให้การรับสารภาพเฉพาะการสมคบวางแผน โดยให้การปฏิเสธช่วงของการพาตัวนายวีรชัยไปกระทั่งเสียชีวิตและมีการนำศพไปเผายางรถยนต์

ซึ่งท้ายฟ้อง อัยการ โจทก์ ได้ขอคัดค้านการให้ประกันตัวจำเลยทั้งหกด้วย เนื่องจากเป็นคดีที่มีอัตราโทษสูงหากได้รับการปล่อยชั่วคราวเกรงว่าจำเลยจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน และไปก่อเหตุอันตรายประการอื่น รวมทั้งอาจจะหลบหนี และหากจำเลยให้การรับสารภาพ โจทก์ก็ขอสืบพยานประกอบคำรับสารภาพ ขณะเดียวกันอัยการขอให้ศาลลงโทษจำเลยทั้งหกสถานหนักด้วย เนื่องจากการกระทำนั้นไม่ยำเกรงต่อกฎหมายบ้านเมือง และเป็นการกระทำที่อุกอาจขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน ก่อให้เกิดความเสียหายเป็นวงกว้างต่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ตลอดจนส่งผลกระทบต่อกระบวนการยุติธรรมซึ่งถือว่าเป็นเรื่องของความมั่นคงของประเทศด้วย

อย่างไรก็ดี เมื่อถึงเวลานัดศาลได้สอบถามจำเลยแล้ว นายณรงค์ศักดิ์ จำเลยที่ 3 แถลงว่ายังไม่มีทนายความและประสงค์จะให้ศาลแต่งตั้งทนายความให้ ส่วนนายชาติชาย, นายประชาวิทย์ หรือตูน, ด.ต.ธงชัย หรือ สจ.อ๊อด จำเลยที่ 4 ,5, 6 แถลงว่าติดต่อทนายความไว้แล้ว แต่ยังไม่ได้ลงชื่อในใบแต่งทนายความ โดยจะเสนอใบแต่งทนายความให้ศาลภายในวันที่ 22 พ.ค.นี้

Advertisement

ซึ่งศาล พิเคราะห์แล้วเห็นว่า เมื่อวันนี้ จำเลยที่ 3, 4, 5, 6 ยังไม่ได้แต่งตั้งทนายความ จึงยังไม่สามารถดำเนินกระบวนพิจารณาที่จะอ่านและอธิบายคำฟ้องของอัยการ โจทก์ ให้จำเลยทั้งหกฟังเพื่อสอบคำให้การได้ จึงให้เลื่อนนัดไปอ่านและอธิบายการฟ้องเพื่อสอบคำให้การจำเลยที่ 1-6 อีกครั้งในวันที่ 22 พ.ค.นี้ เวลา 09.30 น

ขณะที่ทนายความ พ.ต.ท.บรรยิน อดีต รมช.พาณิชย์ จำเลยที่ 1, นายมานัส จำเลยที่ 2 แถลงขออนุญาตยื่นบัญชีระบุพยานภายในวันที่ 22 มิ.ย.นี้นั้น ศาลพิจารณาแล้วก็อนุญาตให้ทนายจำเลยที่ 1-2 ยื่นบัญชีระบุพยานภายในวันดังกล่าว

ส่วนที่ทนายความจำเลยที่ 1- 2 ยื่นคำร้องขอให้ศาลพิจารณาพิพากษาคดีสำหรับการกระทำที่เป็นความผิดคดีทุจริตและประพฤติมิชอบที่อยู่ในเขตอำนาจของศาลนี้ ส่วนความผิดอื่นขอให้ศาลไม่รับฟ้องโดยให้อัยการ โจทก์ นำไปฟ้องต่อศาลที่มีเขตอำนาจนั้น

ศาลพิเคราะห์แล้ว เห็นว่า คดีนี้อัยการ โจทก์ ยื่นฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1-6 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 139, 140, 145, 146, 199, 210, 213, 289, 309, 310, 313 ซึ่งความผิดตามมาตรา 139 และ 140 นั้นเป็นคดีที่อยู่ในเขตอำนาจของศาลนี้ ตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลอาญาคดีทุจริตฯ มาตรา 33 แต่เมื่อความผิดฐานอื่นเป็นความผิดหลายกรรมที่เกี่ยวเนื่องกันกับความผิดที่อยู่ในเขตอำนาจของศาลอาญาคดีทุจริตฯ นี้ศาลจึงได้พิจารณารับฟ้องของอัยการ โจทก์ ไว้แล้วเมื่อวันที่ 18 พ.ค.63 จึงเป็นกรณีที่ศาลได้รับคดีทุกข้อหาซึ่งเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันและเกี่ยวเนื่องกันไว้พิจารณา โดยคำนึงถึงความสะดวกและเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมเป็นสำคัญแล้ว จึงไม่ต้องวินิจฉัยตามคำแถลงของทนายจำเลยที่ 1-2 ดังกล่าวอีก

 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image