‘เมย์แบงก์ กิมเอ็ง’ คัดหุ้นดีมีโอกาสไปได้สวย หลังรายงานงบไตรมาสแรกไม่สดใสนัก

‘เมย์แบงก์ กิมเอ็งคัดหุ้นดีมีโอกาสไปได้สวย หลังรายงานงบไตรมาสแรกไม่สดใสนัก

บริษัทหลักทรัพย์เมย์แบงก์ กิมเอ็ง(ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโคว-19 ส่งผลกระทบต่อการชะลอตัวอย่างรุนแรงของเศรษฐกิจไทยปี 2563 สะท้อนจากกำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ไทยในช่วงไตรมาสแรกที่รายงานออกมาพบว่าลดลงมากถึง 59% เมื่อเทียบกับปี 2562 ส่วนผลิตภัณฑ์มวลรวม (จีดีพี) ไทยในช่วงไตรมาสแรกก็กลับมาหดตัว -1.8% เมื่อเทียบกับปีก่อน ถือว่าต่ำสุดในรอบ 6 ปี แต่อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาแนวโน้มในช่วงถัดไป แม้ว่าสัญญาณเศรษฐกิจไตรมาส 2/2563 จะยังคงอ่อนแอแต่เชื่อว่า บางบริษัทอาจเริ่มมีพัฒนาการที่ดีขึ้น ดังนั้นในช่วงปีนี้น่าจะเป็นช่วงที่เหมาะสมในการค้นหาหุ้นที่น่าสนใจและทยอยลงทุนต่อไป

ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ให้ความเห็นว่า สถานการณ์โควิด-19 จะส่งผลกระทบต่อกำไรรวมไตรมาสแรกให้หดตัว -59% เมื่อเทียบกับปีก่อน ซึ่งการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในช่วงไตรมาส 1 ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อแทบทุกอุตสาหกรรม จากการรวบรวมข้อมูลกำไรในช่วงไตรมาส 1 ของทุกบริษัทในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) พบว่าเหลือเพียง 1.1 แสนล้านบาทเท่านั้น ซึ่งกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีกำไรหดตัวมากที่สุด 3 อันดับแรก คือพลังงาน รองลงมาคือ ปิโตรเคมี และวัสดุก่อสร้าง โดยกำไรรวมไตรมาส 1 ต่ำกว่าที่ตลาดประเมินไว้ประมาณ 12% ซึ่งอาจเห็นการปรับประมาณลงอีกเล็กน้อย

สำหรับราคาหุ้นจะถูกหรือแพงนั้น ขึ้นอยู่กับสไตล์การลงทุน จากกำไรที่อ่อนแอและต่ำกว่าคาด ส่งผลให้นักวิเคราะห์ยังมีโอกาสปรับลดคาดการณ์กำไรรวมของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพยฯลงอีก โดยล่าสุดกำไรตลาดปีนี้ตลาดคาดลดลงสู่ระดับ 70 บาท ต่อหุ้น ซึ่ง ระดับตลาดปัจจุบัน คิดเป็นราว 18.2 เท่า เทียบเคียงอัตราส่วนราคาต่อกำไร (พีอี) เฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปี+2SD ซึ่งถือว่าเป็นระดับที่ค่อนข้างตึงตัว แต่อย่างไรก็ตาม มุมมองของนักลงทุนระยะกลางและยาว อาจมองข้ามกำไรปีนี้ ซึ่งถือว่าเป็นปีที่ไม่ปกติ เพราะกำไรต่ำมาจากผลกระทบของโควิด-19 โดยคาดกำไรในปีถัดไปมีโอกาสจะปรับตัวขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ หลังโควิด-19 คลี่คลาย โดยหากมีมุมมองเช่นนี้ หุ้นไทยในปัจจุบันก็ถือว่ายังไม่แพงนัก และถือเป็นจังหวะในการทยอยสะสม

โดยการค้นหาหุ้นเด่นที่น่าจะไปต่อจากงบการเงินไตรมาสแรกที่รายงานเสร็จสิ้นแล้ว คาดว่ากลุ่มที่ราคาหุ้นมีโอกาสไปต่อ และน่าทยอยสะสมคือ หุ้นที่กำไรไตรมาสแรกอ่อนแอมากๆ ซึ่งคาดว่าจะเป็นจุดต่ำสุดของปี และกำไรจะกลับมาเร่งตัวเด่นตั้งแต่ไตรมาส 2 เป็นต้นไป โดยกลุ่มอุตสาหกกรรมที่ใกล้เคียงเงื่อนไขนี้ ได้แก่ กลุ่มพลังงานและปิโตรเคมีส่วนหุ้นที่ผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ขยายตัวโดดเด่น อาจอ่อนตัวลงบ้างในช่วงไตรมาส 2 แต่จะกลับมาเร่งตัวขึ้นเด่นในช่วงครึ่งหลังของปี ซึ่งจากการคัดกรองจากธีมการลงทุนดังกล่าว จะได้ 4 หุ้น ที่น่าทยอยสะสม ได้แก่ SPRC , TASCO , JMT และ CBG

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image