หุ้นไทยพุ่งแรง ปิดบวก 17.01 จุด ได้แรงหนุนจากวัคซีนต้านไวรัสมีพัฒนาการ–คาดหวังปลดล็อกเฟส 3
วันที่ 25 พฤษภาคม 2563 ผู้สื่อข่าวรายงานภาวะหุ้นวันนี้ว่า หุ้นเคลื่อนไหวในแดนบวก โดยเปิดตลาดภาคเช้ามาที่ระดับ 1,303.97 จุด ปิดตลาดภาคเช้าที่ระดับ 1,313.40 จุด ก่อนปิดตลาดภาคบ่ายที่ระดับ 1,320.98 จุด ปรับลดลง 17.01 จุด หรือ 1.30% โดยดัชนีทำจุดสูงสุดที่ระดับ 1,323.43 จุด และทำจุดต่ำสุดที่ระดับ 1,302.12 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่ 53,806.12 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น นักลงทุนสถาบันในประเทศ ซื้อสุทธิ 1,405.70 ล้านบาท นักลงทุนบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ ซื้อสุทธิ 344.78 ล้านบาท นักลงทุนต่างประเทศ ขายสุทธิ 156.03 ล้านบาท นักลงทุนทั่วไปในประเทศขายสุทธิ 1,594.45 ล้านบาท โดยระหว่างวัน ดัชนีบวกมากสุด 19.46 จุด ลบมากสุด 1.85 จุด
โดยนายฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์ ผู้ช่วยผู้จัดการ ฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเชียพลัส จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าภาพรวมตลาดหุ้นไทยปิดในแดนบวก โดยดัชนีปรับระดับขึ้นมาได้ค่อนข้างดี ภาพรวมสอดคล้องกับตลาดหุ้นในถูมิภาคเดียวกัน สาเหตุมาจากหลายๆ ประเทศเริ่มกลับมาเปิดประเทศอีกครั้ง และแนวโน้มที่ดีของการค้นพบวัคซีนต้านเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยตลาดเหมือนกับมองข้ามความไม่แน่นอนของสถานการณ์สงครามการค้า (เทรดวอร์) ระหว่างสหรัฐและจีนไป ส่วนบรรยากาศในประเทศ ได้รับแรงสนับสนุนจากจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่สามารถควบคุมได้และออกมาดูดีตลอดในช่วงที่ผ่านมา แม้จะพบผู้ติดเชื้อใหม่เพิ่มขึ้นบ้างเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นมากจนน่าตกใจนัก โดยหุ้นที่ปรับตัวขึ้นได้ดี คือ หุ้นกลุ่มพลังงาน ได้แก่ ปตท. ปตทสผ. กลุ่มโรงไฟฟ้า ได้แก่ จีพีเอสซี กลุ่มปิโตรเคมี ไอวีแอลบีซีพีจี และหุ้นกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม ได้แก่ ดับบลิวเอชเอ ทั้งหมดเป็นกลุ่มที่ดัชนีขึ้นมาค่อนข้างกระจายตัว ทำให้ตลาดหุ้นไทยดัชนีปรับตัวขึ้น
“ส่วนปัจจัยที่ต้องติดตามคือ การผ่อนปรนมาตรการล็อกดาวน์เฟส 3 และการต่อพ.ร.ก.ฉุกเฉินในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในัวนที่ 26 พฤษภาคมนี้ และปัจจัยต่างประเทศ ได้แก่ ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐและจีน หลังจากจีนออกกฎหมายความมั่นคง และวุฒิสภาสหรัฐฯผ่านร่างกฏหมาย ซึ่งทำให้บริษัทสัญชาติจีนที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหุ้นสหรัฐถูกถอดออกจากตลาด ด้านกลยุทธ์การลงทุน เนื่องจากมูลค่าหุ้น (แวลูเอชั่น) ของตลาดหุ้นไทยเริ่มตึงตัว อัตราส่วนราคาต่อกำไร (พีอี) อยู่ที่ประมาณ 20 เท่า ถือว่าเป็นระดับที่เริ่มแพงแล้ว รวมถึงตลาดหุ้นยังมีปัจจัยเสี่ยงในเรื่องของสงครามการค้า ที่คาดว่าจะมารุนแรงมากขึ้นอีกครั้งหรือไม่ จึงให้กรอบการเคลื่อนไหวที่ระดับ 1,300-1,333 จุด ส่วนหุ้นเด่นที่แนะนำ ให้เน้นไปที่หุ้นปลอดภัยและมีปันผล อาทิ แอดวานซ์ และบีซีพีจี” นายฐกฤตกล่าว