ที่สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย นายกลินท์ สารสิน ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า หอการค้าได้ประเมินการกลับมาเปิดธุรกิจอีกครั้งของ 2 เฟสแรก พบว่าสร้างรายได้เข้าระบบเศรษฐกิจเป็นแสนล้านบาทแล้ว และเปิดเฟส 3 น่าจะเพิ่มได้อีก 1 แสนล้านบาท และเชื่อว่าหากตัวเลขผู้ติดเชื้อใหม่ยังต่ำ รัฐก็ทยอยเปิดธุรกิจที่เหลือไปเรื่อยๆ โดยขณะนี้ได้มีการหารือที่เปิดให้นักธุรกิจและนักลงทุนต่างชาติเข้ามาในประเทศได้แล้ว เพราะมีนักลงทุนจำนวนมากจากญี่ปุ่น จีน สหรัฐฯ ยุโรป ที่สนใจจะเข้ามาเจรจาและลงทุนในไทยเพิ่ม ก็อาจหารือภาครัฐว่าจะปลดล็อกอย่างไร
“ ระยะเวลาการปลดล็อก ก็มีมุมมอง 2 ส่วน ส่วนแรกต้องการให้เปิดเร็วและเปิดได้ทั้งหมด อีกส่วนก็ต้องการให้ทยอยเปิดและวัดผลจากมาตรการป้องกันและตัวเลขผู้ติดเชื้อว่าเป็นอย่างไร และกลัวการระบาดโควิดระลอก2 เชื่อว่ามีแน่นอน แต่ไม่รู้ว่าจะรุนแรงแค่ไหน และ 14 วันนั้นเริ่มจากจุดใด เพราะการใช้ชีวิตประจำวันเจอคนหลากหลายและไปหลายที่ ในภาคเอกชนก็มองว่าหากธุรกิจใดพร้อมกับการป้องกันตามมาตรฐานก็ควรเปิดโดยเฉพาะด้านนักลงทุนและแรงงานต่างชาติบางส่วน เรื่องการกำหนดเวลาเคอร์ฟิว รัฐคงดูในเรื่องการป้องกันไม่ให้เกิดการกลับมาระบาดรอบ 2 แม้อาจกระทบต่อบ้างธุรกิจบ้าง แต่ก็ต้องป้องกัน และสามารถลดระยะเคอร์ฟิวไปเรื่อยๆได้ อีกทั้งมาตรการป้องกันโควิดก็ยังอยู่ดังนั้นการฟื้นของธุรกิจก็ยังไม่เท่าปกติ บางรายจึงชะลอการเปิดกิจการไปก่อนก็มีอยู่ “ นายกลินท์ กล่าว
นายกลินท์ กล่าวถึงสถานการณ์การเมืองว่า ตอนนี้ต้องติดตามทั้งความวุ่นวายในสหรัฐฯ แต่เบื้องต้นทราบว่ายังไม่กระทบต่อการส่งออกสินค้าไทย โดยเฉพาะกลุ่มอาหารและเกษตร ยังขยายตัวได้สูง ส่วนการเมืองในประเทศ หากมีการปรับคณะรัฐมนตรี ไม่ขอกล่าวถึงตัวบุคคล แต่สิ่งที่ภาคเอกชนต้องการเห็นคือไม่ว่าบุคคลจะเปลี่ยนแต่นโยบายหลักและแนวทางที่ได้หารือไว้กับภาคเอกชนเพื่อการขับเคลื่อนประเทศไม่มีการเปลี่ยนแปลง เอกชนรับได้หากปรับคณะรัฐมนตรีแต่อย่ากระทบการบริหารประเทศและระบบเศรษฐกิจ ส่วนรัฐบาลจากการเลือกตั้งจะครบ 1 ปีแล้ว หากให้คะแนนในภาวะโควิด ยังถือว่าสอบผ่าน โดยเฉพาะเรื่องสาธารณสุข ส่วนเศรษฐกิจต้องเข้าใจว่ารุนแรงจากปัญหาผลกระทบโควิด
“ ขอให้นโยบายใหญ่เหมือนเดิม แต่วิธีการเป็นไปตามสไตล์ของแต่ละคน ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เชื่อว่าเอกชนรับได้ “ นายกลินท์ กล่าว
