ศาลเปิดพิจารณคดีเต็มรูปแบบวันนี้ ‘เมทินี’ รอง ปธ.ศาลฎีกา วางแนวบริหารจัดการคดี จัดระเบียบสาธารณสุข

ศาลยุติธรรมเปิดพิจารณาคดีเต็มรูปแบบ”เมทินี”รอง ปธ.ศาลฎีกา นั่งปธ.อนุฯการบริหารจัดการคดีหลังเลื่อนมานานกว่า 3 เดือนหลบโควิด พร้อมกำหนดมาตรการทางสาธารณสุข ลดความแออัดในห้องพิจารณา

เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน นายสราวุธ เบญจกุล เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม เปิดเผยข้อมูลสถิติคดีความผิดตามพระราชกําหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 พระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ.2558 และพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ.2542 ที่เข้าสู่การพิจารณาของศาลชั้นต้นทั่วประเทศ ซึ่งศูนย์ข้อมูลคดี สำนักแผนงานและงบประมาณ สำนักงานศาลยุติธรรม ได้รวบรวมสถิติคดีดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่อง ภายหลังรัฐบาลออกประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19

โดยภาพรวมสถิติคดีสะสมตั้งแต่วันที่ 1-31 พ.ค. 2563 มีจำนวนคดีที่เข้าสู่การพิจารณาในกลุ่มศาลอาญา ศาลจังหวัด และศาลแขวง ทั้งหมด 14,727 คดี พิพากษาแล้วเสร็จ ทั้งหมด 14,176 คดี (คิดเป็นร้อยละ 96.26) จำนวนจำเลยที่ขึ้นสู่การพิจารณาทั้งหมด 21,113 คน ข้อหาที่มีการกระทำความผิดสูงสุด คือ ฝ่าฝืนพ.ร.ก.ฉุกเฉินจำนวน 20,736 คน ส่วนจังหวัดที่มีผู้กระทำความผิดสูงสุดคือ กรุงเทพมหานคร 1,797 คน ส่วนในกลุ่มศาลเยาวชนและครอบครัว มีจำนวนคำร้องที่ขอตรวจสอบการจับ รวมทั้งสิ้น 813 คำร้อง จำนวนเยาวชนที่เข้าสู่การตรวจจับที่ชอบด้วยกฎหมายทั้งหมด 891 คน ข้อหาที่เข้าสู่การตรวจสอบจับกุมสูงสุด คือ ฝ่าฝืนพ.ร.ก.ฉุกเฉิน จำนวน 884 คน

นายสราวุธกล่าวว่า ภายหลังจากที่มีการบังคับใช้กฎหมาย พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 จะเห็นได้ว่าสถิติคดีในกลุ่มศาลอาญา ศาลจังหวัด และศาลแขวง ในเดือนเมษายน ตลอดทั้งเดือนมีปริมาณคดีที่ขึ้นสู่การพิจารณาทั้งหมด 17,466 คดี เดือน พ.ค. จำนวน 14,727 คดี เมื่อนำมาเปรียบเทียบพบว่าสถิติคดีมีปริมาณลดลง 2,739 คดี ขณะที่ในส่วนของกลุ่มศาลเยาวชนและครอบครัว สถิติการจับกุมในเดือนเมษายน มีจำนวน 1,262 คดี เดือนพฤษภาคม มีจำนวน 813 คดี เมื่อเปรียบเทียบทั้งสองเดือนพบว่าสถิติมีการลดลง จำนวน 449 คดี ซึ่งสาเหตุอาจเนื่องมาจากเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้น และประชาชนเข้าใจในแนวทางปฏิบัติ เริ่มมีการปรับตัวให้อยู่กับสถานการณ์ปัจจุบันมากขึ้น พร้อมให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่อย่างจริงจัง

Advertisement

สำหรับคดีที่มีการเลื่อนนัดพิจารณาคดีในช่วงเดือนมีนาคม-พฤษภาคม เนื่องจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 นั้น เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม กล่าวว่า ขณะนี้ศาลยุติธรรมทั่วประเทศมีความพร้อมที่จะเริ่มกลับมาพิจารณาคดีเต็มรูปแบบในวันที่ 1 มิถุนายน 2563 โดยคณะอนุกรรมการศึกษาติดตามและแก้ไขปัญหาการบริหารจัดการคดีภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ของศาลยุติธรรม ซึ่งมีนางเมทินี ชโลธร รองประธานศาลฎีกา เป็นประธานคณะอนุกรรมการ ได้กำหนดแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการบริหารจัดการคดี และด้านอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อเตรียมความพร้อมทั้งสถานที่และบุคลากรสำหรับการพิจารณาคดีให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันในเดือนมิถุนายน เช่น กำหนดให้คู่ความและผู้เกี่ยวข้องที่ได้รับอนุญาตให้เข้าห้องพิจารณาใช้เจลแอลกอฮอล์ล้างมือ สวมหน้ากาอนามัยตลอดเวลา และให้อยู่ห่างจากบุคคลอื่นในระยะอย่างน้อย 1-1.5 เมตร หรือให้เจ้าหน้าที่หน้าบัลลังก์จัดให้อยู่ในบริเวณที่เหมาะสม จัดให้มีจุดบริการเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว (One Stop Service) เพื่อให้คู่ความหรือทนายความสามารถยื่นคำคู่ความหรือเอกสารใดๆ โดยที่มีเจ้าหน้าที่รับและมีระบบการติดตามทราบคำสั่งหรือความคืบหน้าของคดี

ศาลที่มีทางเดินรถภายในที่สะดวก กว้างขวาง อาจจัดให้มีการบริการ Drive Thru เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้มาติดต่อโดยไม่ต้องลงจากรถ ซึ่งจะช่วยลดจำนวนผู้ที่เข้าไปในอาคาร สะดวกแก่การดูแลสุขอนามัยภายในศาล สำหรับการติดต่องานบริเวณจุดรับบริการหรือเคาน์เตอร์ระหว่างเจ้าหน้าที่ศาลกับผู้มาติดต่อราชการ กำหนดให้มีเส้นแบ่งหรืออุปกรณ์เพื่อการเว้นระยะห่างบุคคลอื่น (Social Distancing) และให้ศาลจัดเตรียมหน้ากากอนามัยสำรองไว้เพื่อให้บริการแก่คู่ความหรือผู้มาติดต่อราชการในกรณีที่ไม่ได้นำหน้ากากอนามัยติดตัวมาศาลด้วย

นอกจากนี้ ในการออกหมายและส่งหมายแจ้งวันนัดสำหรับคดีทุกประเภทให้ใช้ความระมัดระวัง และบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับเส้นทางและสถานที่ตามที่ได้ดำเนินการให้ละเอียดชัดเจน สำหรับคดีจัดการพิเศษที่รับฟ้องใหม่ ควรกำหนดนัดพิจารณาแบบเหลื่อมเวลา รวมถึงในกรณีออกหมายเรียกพยานบุคคลมาเบิกความที่ศาล ให้ระบุเวลาไว้ในหมายเรียกให้สอดคล้องกับเวลานัดหรือเวลาที่พยานจะต้องเข้าเบิกความ เพื่อลดระยะเวลาที่คู่ความ ทนายความ และผู้เกี่ยวข้องต้องรอการพิจารณาและลดความแออัดในห้องพิจารณา เป็นต้น

“ส่วนที่ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ได้มีมาตรการผ่อนปรนให้กิจกรรม/กิจการบางประเภทเปิดทำการเพิ่มเติมได้ (ผ่อนปรนเฟส 3) และให้การเดินทางข้ามจังหวัดภายใต้มาตรการที่ราชการกำหนด รวมถึงลดเวลาการออกนอกเคหสถานลง 1 ชั่วโมง เป็นเวลา 23:00 น.- 03:00 น.ของวันรุ่งขึ้น ซึ่งจะมีผลบังคับใช้วันนี้เป็นวันแรก ขอให้พี่น้องประชาชนและผู้ประกอบการยึดหลักสาธารณสุขเป็นหลัก รวมถึงศึกษาข้อกำหนดของมาตรการการผ่อนปรนอย่างละเอียด เพื่อป้องกันการระบาดระลอกสอง ที่อาจจะเกิดขึ้นเหมือนหลายๆ ประเทศ” เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรมกล่าว

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image