PRIME เปิดแผนธุรกิจครึ่งปีหลัง รุกขยายธุรกิจใหม่ดันรายได้โต 50% พร้อมลุยโรงไฟฟ้าทั่วเอเชีย

นายสมประสงค์ ปัญจะลักษณ์ ประธานกรรมการ บริษัท ไพร์ม โรด เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ ‘PRIME’ เปิดเผยว่า บริษัทฯ มั่นใจว่าแผนธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลัง 2563 จะเป็นไปตามแผนงาน คือรายได้ในปีนี้จะเติบโตเพิ่มขึ้นประมาณ 40-50% จากรายได้รวมปี 2562 ที่มีรายได้รวม 658 ล้านบาท เป็น 1,000 ล้านบาท โดยรายได้หลักประมาณ 70% จะมาจากธุรกิจผลิต และขายไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน ซึ่งขณะนี้เป็นโรงไฟฟ้า พลังงานแสงอาทิตย์ทั้งหมด ขณะที่รายได้จากธุรกิจใหม่ คือ ธุรกิจรับเหมาติดตั้งระบบผลิตพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา หรืSolar Rooftop EPC จะช่วยสร้างรายได้ 30% ของรายได้รวม โดยปัจจุบัน มีลูกค้าแล้วกว่า 30 โครงการ

สำหรับธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน บริษัทตั้งเป้าว่าปี 2563 จะมีการเพิ่มกำลังการผลิตติดตั้งไฟฟ้าเพิ่มขึ้นเป็น 400 เมกะวัตต์ จากปัจจุบันมีกำลังการผลิตติดตั้งทั้งหมดรวม 287 เมกะวัตต์ ซึ่งในจำนวนทั้งหมดนี้ ได้จำหน่ายไฟฟ้าแล้วจำนวน 179 เมกะวัตต์ และอยู่ระหว่างพัฒนาและก่อสร้าง 108 เมกะวัตต์ โดยโรงไฟฟ้าทั้งหมด ที่มีอยู่เป็นโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ตั้งอยู่ในประเทศไทยจำนวน 132.3 เมกะวัตต์ ในประเทศญี่ปุ่นจำนวน 68.2 เมกะวัตต์ ในประเทศ ไต้หวันจำนวน 8.5 เมกะวัตต์ และได้ลงนามทำสัญญากับ รัฐบาลกัมพูชา เพื่อร่วมลงทุนแบบ Public Private Partnership (PPP) สร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศกัมพูชาที่ จังหวัดกัมปงชนัง ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 78 เมกะวัตต์ มีสัญญา จำหน่ายไฟฟ้า 60 เมกะวัตต์ ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จ และจำหน่ายไฟได้ ภายในไตรมาสที่ 2 ปี 2565 โดยโครงการนี้มีธนาคารพัฒนาแห่งเอเชีย (Asian Development Bank) เป็นผู้สนับสนุนตั้งแต่ริเริ่มโครงการ

‘PRIME’ มีเป้าหมายเพิ่มขนาดกำลังผลิตติดตั้งของโรงไฟฟ้าเป็น 1,000 เมกะวัตต์ ภายในปี 2568 หรือภายใน 5 ปี ทั้งจากการลงทุน ในประเทศและต่างประเทศ โดยในส่วนการลงทุนต่างประเทศ บริษัทฯ มุ่งเน้นประเทศที่มีศักยภาพเติบโตสูง และความต้องการพลังงานไฟฟ้า จำนวนมาก อาทิ มาเลเซีย เวียดนาม สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา (พม่า) และอุซเบกิสถาน โดยอาศัยจุดแข็งของบริษัทคือมีประสบการณ์ในอุตสาหกรรมพลังงานทดแทนกว่า 10 ปี มีทีมงานที่เชี่ยวชาญในการออกแบบพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าให้เกิดประสิทธิภาพสูงเป็นที่ยอมรับในระดับสากล และมีพันธมิตรทางธุรกิจระดับนานาชาติ

สำหรับผลประกอบการในไตรมาส 1 ปี 2563 นายสมประสงค์กล่าวว่า บริษัทมีผลการประกอบการที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้เมื่อเปรียบเทียบกับงบการเงินในธุรกิจโรงไฟฟ้าในช่วงเดียวกัน ของปีก่อน บริษัทจะมีรายได้รวม 185.48 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.85% จากรายได้รวม 164.25 ล้านบาทในงวดเดียวกันของปี 2562 และมีกำไรสุทธิ 91.71 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.34% จากกำไรสุทธิ 78.83 ล้านบาทในงวดเดียวกันของปี 2562 โดยปัจจุบันบริษัทฯ มีอัตรากำไรสุทธิสูงประมาณ 48.86% ซึ่งนับว่าสูงที่สุดแห่งหนึ่ง ในกลุ่มบริษัทพลังงาน โดยสถานะการเงินจากข้อมูล ณ 31 มีนาคม 2563 บริษัทมีอัตราหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (D/E Ratio) ที่ดีมากคือ 1.18 เท่า มีสินทรัพย์จำนวน 5,519 ล้านบาท และหนี้สินรวม 2,929 ล้านบาท และมีส่วนของผู้ถือหุ้นรวม 2,591 ล้านบาท

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image