ภาพเก่าเล่าตำนาน : คนผิวสี…ไปอยู่ในอเมริกาได้ยังไง? : โดย พลเอก นิพัทธ์ ทองเล็ก

อเมริกา คือ ดินแดนของผู้อพยพที่ยิ่งใหญ่…

ในวงสนทนาของโต๊ะอาหารใกล้ๆ ที่คุยกันเสียงดังผ่านหน้ากาก…มีคำถามลอยลมมาว่า “…เฮ้ยแล้วคนผิวดำเป็นล้านคน… เข้าไปอยู่ในอเมริกาได้ยังไง… พวกเค้าเดินไปกันรึไง…เข้าไปอยู่ในอเมริกากันตอนไหนวะ ?”

นี่เป็นเรื่องคุยกัน ที่เชื่อมโยงมาจากประเด็นการฆาตกรรม จอร์จ ฟลอยด์ คนอเมริกันผิวสี ในรัฐมินิโซตา ที่คลื่นมหาชนทั่วโลก ออกมาแสดงปฏิกิริยากันบนท้องถนนเพื่อประท้วง…เรื่องการใช้อำนาจเกินขอบเขตของเจ้าหน้าที่ปะปนกับเรื่องของประเด็นสีผิว

ผู้เขียนจะย่นย่อประวัติศาสตร์แบบรวบรัด…สำหรับทุกท่านครับ

Advertisement

องค์การอนามัยโลก (WHO) จำแนกกลุ่มคนตาม “สีผิว” ของมนุษย์ออกเป็น 6 กลุ่ม ขาวมาก ขาว ขาวอมเหลือง น้ำตาล น้ำตาลเข้ม และดำ แยกย้ายกันอยู่ตามภูมิภาคต่างๆ ของโลก ตามสภาพอากาศ

…นึกถึง “แขกเปอร์เซีย” (อิหร่าน) ที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานในอยุธยานับพันคน เป็นมุสลิม มีลูกหลานสืบต่อกันมาหลายชั่วอายุคนจนถึงปัจจุบัน

นึกถึงชาวจีนที่อพยพลงเรือเข้ามาสู่สยามนับล้านคน ชาวมอญที่ชาวสยามไปกวาดต้อนมา ชาวลาวจากเวียงจันทน์ (บรรพบุรุษทางคุณพ่อของผู้เขียนมาจากเวียงจันทน์) ที่ไปกวาดต้อนมาสมัยในหลวง ร.3 การผสมผสานของชนเผ่าในภูมิภาคนี้กลมกลืน หน้าตา สีผิวไม่ต่างกันมาก

Advertisement

ชายชาวจีนที่อพยพมา ล้วนได้เมียเป็นชาวสยามเลยกลายเป็น “ส่วนผสม” ที่ดี ไม่มีปัญหา

อย่าลืม แฝดสยาม หรือแฝดอินจัน แฝดตัวติดกัน (Cojoined Twins) จากแม่กลอง ที่ถูกพ่อค้าชาวอเมริกันและอังกฤษซื้อตัวไปแสดงในอเมริกา ในสมัยในหลวง ร.3
ก็ไปทำงาน ใช้ชีวิตในอเมริกาจนแก่ตาย

แฝดสยาม ไปแต่งงานกับ 2 สาวอเมริกันในรัฐนอร์ธแคโรไลนา มีลูกรวมกัน 21 คน มาบัดนี้ เป็นทายาทรุ่นที่ 6-7 นามสกุล Bunker ตอนนี้อยู่ในอเมริกา ขยายตัวเป็นตระกูลใหญ่ รวมกันได้ราว 1,500 คน

กลับมาที่ประเด็นหลักของเราครับ…

…มนุษย์แต่ดึกดำบรรพ์หลายพันปีมาแล้ว ทำสงคราม รบพุ่งกันระหว่างชนเผ่า ฝ่ายแพ้จะต้องตกเป็นเชลย กลายเป็น “ทาส” ของฝ่ายชนะ ชาวอียิปต์เป็นกลุ่มชาติพันธุ์นักรบ ที่เอาเชลยศึกนับแสนจากแอฟริกา ไปแบกหิน ขนหิน สร้างพีระมิด

ชาวโรมัน เก่งกาจชาตินักรบ ชนะสงครามในทุกสมรภูมิสุดขอบฟ้า กวาดต้อนเอาเชลยศึกนับแสนไปสร้างกรุงโรม เกิดอาคาร สถาปัตยกรรมขนาดมโหฬาร สวยงามเป็นอัศจรรย์… นักรบโรมันใช้นักโทษ ทุบอิฐ แบกหิน ใครทนไม่ได้ก็ตายไป ชีวิตพวกมันมีค่าเหมือนไส้เดือน กิ้งกือ…

มนุษย์ คือ ทรัพยากรอันมีค่าในการสร้างบ้าน สร้างเมือง สร้างถนน สร้างความสุข ความเจริญ ความมั่งคั่ง ฯลฯ

เรื่องของ “ปลาใหญ่กินปลาเล็ก” มันเป็นกฎธรรมชาติ มนุษย์เอา ช้าง ม้า วัว ควาย มาทำงานสารพัด และก็ไม่ลืมที่จะเอามนุษย์ด้วยกันมาทำงานเพื่อประโยชน์สุขของตน

ราวศตวรรษที่ 17 …พ่อค้า นักเดินเรือ ทหารจากยุโรปนำกองเรือติดปืนใหญ่ไปตระเวนไปทั่วโลก โดยเฉพาะโปรตุเกส เมื่อแล่นเรือไปถึงทวีปแอฟริกา มองเห็น “ชาวแอฟริกา” บึกบึน แข็งแรง ทนแดด ทนฝน ชาย-หญิงผิวดำมันสนิท นับแสน นับล้านคน มนุษย์เหล่านี้น่าจะเป็น “สินค้า” ที่ทำเงินได้มหาศาล

โปรตุเกส เจรจาจัดระบบการ “ค้ามนุษย์” เพื่อนำไปเป็น “ทาส” ทำงานหนักในยุโรปที่กำลังรุ่งเรือง

การนำชาวแอฟริกาผิวดำตัวเป็นๆ ไปเป็นทาสในยุโรปอุบัติขึ้นในรูปแบบของการซื้อ-ขาย เกือบทั้งหมดถูกบังคับ จับล่ามโซ่ บรรทุกใส่เรือ

เมื่อนำสินค้าจากยุโรปแล่นเรือไปจำหน่ายในทวีปแอฟริกา ตอนขากลับ เรือว่าง.. “ทาสผิวดำ” คือ สินค้า มีสภาพประดุจการขนส่งสัตว์

ขอแถมเป็นข้อมูลครับ…โปรตุเกส เป็นชาวยุโรป (ฝรั่งผิวขาว) กลุ่มแรกที่แล่นเรือมาถึงอยุธยาในปี พ.ศ.2054 นะครับ เอาปืนยาวเข้ามาขาย

มีคำถามแบบล้อเล่นว่า ทำไมฝรั่งพวกนี้ เค้าไม่ซื้อชาวสยามไปเป็นทาสทำงานในยุโรป…คำตอบสนุกๆ คือ ฝรั่งคงพิจารณาแล้ว “ไม่กล้าเสี่ยง”

ฝรั่งผิวขาวนำอาวุธปืน ดินปืน กระสุน เป็นสินค้าไปขาย เพื่อชาวป่าในแอฟริการบกันเอง ทาสตัวเป็นๆ คือ สิ่งที่นำมาแลกเปลี่ยนกับอาวุธ กระสุนเสื้อผ้า และของใช้

การค้าทาส มีจุดกำเนิดและเกิดขึ้นมาด้วยประการฉะนี้

ธุรกิจใหม่เกิดใหม่ หรือ start up ทำให้อังกฤษ ฝรั่งเศส ฮอลแลนด์ เดนมาร์ก รีบกระโดดเข้ามาร่วงวงไพบูลย์ นำเรือสินค้าไปขนคนผิวดำเอามาขายในยุโรป

ทวีปยุโรปที่เคยมีแต่คนผิวขาว หรือมีพวกอาหรับจากตะวันออกกลางปะปนบ้าง… ตั้งแต่บัดนั้นมาก็มีคน “ผิวดำ” เข้ามาปะปน ช่วงแรกเรียกกันว่าพวก “นิโกร”

สีผิว หน้าตา ช่างแตกต่างกับชาวยุโรปผิวขาว ชัดเจน… ขาว-ดำ

ทาสเป็นสินค้าทำเงิน เกิดการแย่งชิง ชาวป่าขัดขืน ต่อต้าน จึงเกิดการปล้น การลักพาตัว พ่อค้าผิวขาวจ้างให้คนดำด้วยกัน นำกองกำลังไปจับตัวมาขาย…

การซื้อมา- ขายไป เป็นกิจกรรมที่น่าสังเวชคล้ายธุรกิจขายสัตว์ป่า เพราะบางรายต้องใส่กรงขัง บางกลุ่มต้องล่ามโซ่เป็นพวงใหญ่

พ่อค้าทาสผู้มีชื่อเสียงคนหนึ่งในกาฬทวีป คือ นายฟรานซิสโก เฟลิกส์ เดอ ซูซา (Francisco Felix de Souza) อุปราชแห่งเมืองวีดาห์ (Quidah)

ในปี พ.ศ.2231 เมืองวีดาห์ กลายเป็นศูนย์กลางของการค้าทาส เขาเป็นผู้ผูกขาดการค้าทาสในภูมิภาค ร่ำรวยมหาศาล ท่าเรือเมืองวีดาห์ส่งออกทาสไปขายราว 1 ล้านคน (ปัจจุบันเมืองวีดาห์อยู่ในประเทศเบนิน)

ผู้เขียนขอตีแผ่ “การปฏิบัติต่อทาส” ที่แสนจะอนาถ…

ทาส ชาย หญิง แม้กระทั่งเด็กเล็ก ที่จะนำมาขายจะต้องถูกล่ามโซ่ บางครั้งต้องเผาหมู่บ้าน เพื่อต้องการให้คนเหล่านี้สิ้นเนื้อประดาตัว

เมื่อพวกทาสถูกจับกุมมาได้ จะถูกคัดเลือก เพศ ขนาด แล้วจะถูกนำมาขังรวมกันไว้บริเวณใกล้ๆ ท่าเรือเพื่อรอกำหนดเรือที่จะมาซื้อบางครั้งต้องถูกขังอยู่นานเป็นเดือน

เมื่อพ่อค้าจากยุโรปเดินทางมาถึง จะคัดเลือกจากรูปร่างเพื่อให้แน่ใจว่าทาสจะทำงานหนักได้คุ้มเงิน ผู้ซื้อจะตีตราทาสที่ตนซื้อมา เหมือนตีตราวัวควาย ทยอยลงเรือเล็กไปขึ้นเรือใหญ่ แล้วนำไปขังไว้ใต้ท้องเรือ

มนุษย์ที่ได้รับการปฏิบัติเช่นเดียวกับสัตว์เหล่านี้ จะไม่มีวันได้เห็นแสงแดดจนกว่าจะถึงที่หมาย เรือใช้เวลาแล่นนานนับเดือน จะถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ ก็ต้องปล่อยกันในใต้ท้องเรือแบบเรี่ยราด

ฝูงทาสผิวดำใต้ท้องเรือ จะกินเศษอาหารแบบคลุกรวมกันวันละมื้อ ทาส 10 คนจะรอดชีวิตถึงที่หมายราว 5-6 คน เมื่อเป็นเช่นนี้พ่อค้าทาสจึงต้องคิดถึงขาดทุน-กำไร โดยจะต้องบรรทุกทาสไปให้มากที่สุด แน่นขนัดในแต่ละเที่ยว เผื่อหักลบจำนวนที่ต้องตาย

ทาสที่ซื้อมา จะนอนเรียงสลับฟันปลากันไปมาจนเต็มท้องเรือในแต่ละชั้น เพื่อให้แต่ละคนใช้พื้นที่น้อยที่สุด

ทาสที่อยู่ในท้องเรือ จะถูกแยกระหว่างชายหญิง ทั้งหมดมีเสื้อผ้าน้อยชิ้น ทาสจำนวนหนึ่งต้องตายจากการขาดน้ำ ขาดอาหาร และความแออัด ชาวป่าผิวดำที่เสียชีวิตจะถูกโยนทิ้งลงทะเล

เมื่อเรือบรรทุกทาสเดินทางมาถึงเมืองท่าปลายทางในยุโรปแล้ว เหล่าทาสก็จะถูกประมูลขาย คนป่าจากแอฟริกาที่รอดตายจากการเดินทางแสดงว่าแข็งแรงจริง จะถูกขัดสีฉวีวรรณร่างกายให้ดูดี เพื่อให้ได้ราคาสูง

คนผิวดำเหล่านี้ คือ สินค้าที่ “อเมริกา” ประเทศเกิดใหม่ต้องการเช่นกัน

ช่วงเวลาที่ประเทศอเมริกา สร้างบ้าน สร้างเมือง ต้องการแรงงานในการบุกเบิก การทำเหมืองแร่ และเกษตรกรรม ต้องการแรงงานมหาศาลโดยเฉพาะภาคเกษตรกรรม การปลูกฝ้ายขายดีทางตอนใต้

อเมริกาเองบันทึกในประวัติศาสตร์ว่า ทาสชุดแรกที่เดินทางเข้าไปทำงานในอเมริกา มิได้ซื้อตรงมาจากทวีปแอฟริกา แต่ซื้อต่อมาจากยุโรป ซึ่งน่าจะเดินทางไปถึงอเมริกาในราวปี พ.ศ.2069 (ตรงกับแผ่นดินสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 ของอยุธยา)

ทาสจากแอฟริกา คือ พลังขับเคลื่อนที่ทำให้อเมริกาผงาดในการผลิต น้ำตาล ฝ้าย กาแฟ ยาสูบ ทำไร่ ไถนา เป็นคนรับใช้ ก่อสร้าง

ในคริสต์ศตวรรษที่ 16-19 ประมาณว่ามีชาวแอฟริกา จำนวน 12-15 ล้านคน ถูกส่งตัวลงเรือข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกไปยังดินแดนอันห่างไกล โดย 85 เปอร์เซ็นต์ ถูกส่งไปยังบราซิล

ประมาณ 6 เปอร์เซ็นต์ ถูกส่งไปยังแผ่นดินอเมริกา ซึ่งในเวลานั้นยังเป็นอาณานิคมของอังกฤษ

มีข้อมูลแบบหยาบๆ ระบุว่าในช่วงปี พ.ศ.2069-2410 ทาสผิวดำจากแอฟริกาถูกส่งไปขายในอเมริการาว 10.7 ล้านคน การค้าทาสในเวลานั้นเรียกกันแบบเปิดเผยว่า “Atlantic Slave Trade” เพราะเรือที่ขนทาสไป-มา แล่นในมหาสมุทรแอตแลนติก

ปี พ.ศ.2203 ในกรุงลอนดอนมีบริษัทค้าทาสจดทะเบียนที่ถูกกฎหมาย ชื่อ เดอะ รอยัล แอฟริกัน คอมปานี ก่อตั้งโดย พระเจ้าเจมส์ที่ 2 พระองค์ผูกขาดการค้ามนุษย์ตามกฎหมาย

ในช่วงปี พ.ศ.2233 มีตัวเลขระบุว่า มีการซื้อทาสล่ามโซ่ใส่เรือมาถึงอเมริการาวปีละ 30,000 คน บางปีซื้อทาสเข้ามาถึง 85,000 คน

ในช่วง พ.ศ.2364 ถึง พ.ศ.2374 การค้าทาสรุ่งเรืองสุดขีด โดยชาวแอฟริกันเองจับทาสลงเรือไปขายได้ราวปีละ 80,000 คน

ข้อมูลตรงนี้สำคัญนะครับ…ระหว่างศตวรรษที่ 17 ถึงศตวรรษที่ 19 ชาวยุโรปและอเมริกัน นิยมการบริโภคน้ำตาลสูงสุด การปลูกอ้อย และผลิตน้ำตาล คือปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดการค้าทาส และการเคลื่อนย้ายถิ่นฐานคนบนโลกนี้ได้

พ.ศ.2368 (ตรงกับรัชสมัยในหลวง ร.3) อเมริกากำลังผงาดเติบโตแข็งแกร่ง ทาสผิวดำเป็นสินค้าขายดี ไม่มีปากเสียง ไม่มีสิทธิใดๆ ทั้งสิ้น ทำให้มีประชากรทาสผิวดำในอเมริกาเป็นสัดส่วน 1 ใน 4 ของคนผิวขาว

ในศตวรรษที่ 18-19 วิลเลี่ยม วิลเบอร์ฟอร์ซ และเพื่อน ส.ส. 9 คนในรัฐสภาอังกฤษ เป็นกลุ่มแรกที่ออกมารณรงค์ให้เลิกค้าทาสในประเทศอังกฤษ

พ.ศ.2376 (ตรงกับรัชสมัยในหลวง ร.3) รัฐสภาอังกฤษประกาศพระราชบัญญัติเลิกทาส (Slavery Abolition Act) เป็นชาติแรก

เรือบรรทุกทาสลำสุดท้ายที่ออกจากเมืองวีดาห์มาถึงเมืองโมบิล รัฐแอละแบมา อเมริกา เมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ.2403

รัฐบาลประธานาธิบดี อับราฮัม ลินคอล์น มีประกาศให้เลิกทาส เมื่อวันที่ 22 กันยายน พ.ศ.2405 และมีผลบังคับใช้ เมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2406 เปลี่ยนสถานะทางกฎหมายของอเมริกันผิวดำที่เป็นทาสราว 3.5 ล้านคน ให้เป็นอเมริกัน “เสรีชน” ในแผ่นดินอเมริกา…

การค้าทาสในยุโรปและอเมริกา เป็นธุรกิจที่เกิดขึ้นต่อเนื่องยาวนานราว 400 ปี ประมาณกันคร่าวๆ ว่าคนผิวดำจากกาฬทวีปถูกซื้อออกไปเป็นทาสราว 17 ล้านคน

ในบรรดาคนผิวสี ทุกสีผิว ที่อพยพเข้าไปอยู่ในอเมริกายุคต่อมา ส่วนใหญ่ “สมัครใจ” ดิ้นรนขออพยพเข้าไปตั้งถิ่นฐาน ก็มีจำนวนไม่น้อย…

ข้อมูลประชากรสหรัฐเมื่อ พ.ศ.2562 ที่ขอนำมาบอกกล่าว… ผิวขาวร้อยละ 76.5 ฮิสแปนิคร้อยละ 18.3 ผิวดำร้อยละ 13.4 เอเซียนร้อยละ 5.9 ชนพื้นเมืองร้อยละ 1.3 ที่เหลือคือกลุ่มลูกผสม

ขอย้อนกลับไปเรื่องร้อนๆ ที่อังกฤษสักนิดครับ

ในช่วงปี พ.ศ.2223-2235 (ตรงกับช่วงรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช) นายเอ็ดเวิร์ด โคลสตัน (Edward Colston) ทำธุรกิจค้าทาส บริษัทของเขาได้ไปขนทาสชาวแอฟริกันผิวดำจากแอฟริกา ราว 84,000 คนมาขายในยุโรปเพื่อการใช้แรงงานในการเกษตร เขาร่ำรวยจากการค้าทาสมหาศาล

เขาเสียชีวิตในปี พ.ศ.2264 ครอบครัวของเขาบริจาคเงินก้อนใหญ่ให้กับองค์กรการกุศลหลายแห่งในเมือง บริสทอล (Bristol) และในปี 2438 ชาวเมืองสร้างรูปปั้นของพ่อค้าทาสคนนี้ขึ้นมา

ล่าสุดเมื่อ 7 มิถุนายน 2563 ชาวเมืองบริสทอลหลายร้อยคนไป รวมตัวกันนำสีสเปรย์แดงไปพ่นใส่รูปหล่อของนายเอ็ดเวิร์ด โคลสตัน แล้วเอาเชือกผูกคอ โค่นรูปหล่อนี้ลงมาจากแท่น ลากไปตามพื้นถนนในเมืองแล้วนำรูปหล่อไปโยนทิ้งลงทะเลแบบสะใจ

นักประวัติศาสตร์อังกฤษ ท่านหนึ่งกล่าวว่า โคลสตัน คือ พ่อค้าทาสและเป็นฆาตกร

รูปหล่อ รูปปั้น ของบุคคลสำคัญในอเมริกาและหลายประเทศในยุโรป กำลังถูกย้าย ทำลาย จากความไม่พอใจกรณี จอร์จ ฟลอยด์

คนผิวสี มีลูก มีหลาน ขยายเผ่าพันธุ์กันมา ถูกรังเกียจกีดกัน ต่อสู้ปากกัดตีนถีบ คนผิวขาวที่รักความยุติธรรม เห็นเพื่อนมนุษย์ถูกรังแกก็ช่วยแก้ไขกฎหมายให้โอกาส คนผิวสีแต่งงานกับคนผิวขาวก็จำนวนไม่น้อย

ที่ผ่านมา…คนผิวสีได้รับการปฏิบัติ ได้รับโอกาส มีสิทธิเท่าเทียมกัน ในบางครั้งถึงขนาดมีโอกาสสูงกว่าคนผิวขาว …มีชื่อเสียง ถึงขนาดที่คนอเมริกันเคยลงคะแนนให้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐมาแล้ว…

สีผิว เป็นเพียงปัจจัยเศษเสี้ยวหนึ่งของความขัดแย้ง ปัญหาหลักของมนุษย์บนโลกนี้ คือ กิเลส ที่มีกันทุกสีผิว….

ตั้งใจให้เป็นกรณีศึกษานะครับ สยามประเทศเองก็เคยมีทาส

พลเอก นิพัทธ์ ทองเล็ก

ข้อมูลบางส่วนจาก 2019 U.S. Census Bureau และภาพจากtimetoast.com

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image