ยันไม่ไหว!!สมาคมส่งออกข้าวไทย โอดบาทแข็ง-ปิดประเทศ ปี63พลาดเป้ากว่าล้านตัน

นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย เปิดเผยว่า การยกเลิกเคอร์ฟิวและทยอยปลดล็อกธุรกิจ ถือว่าเป็นส่วนช่วยกระตุ้นการบริโภคและการท่องเที่ยวในประเทศ แต่ในส่วนของภาคธุรกิจและการส่งออกยังไม่ฟื้นตัวได้ทันที เนื่องจากการส่งมอบสินค้าและการเคลื่อนย้ายยังไม่สะดวกเหมือนปกติ จากการที่หลายประเทศยังปิดประเทศและการกระจายสินค้ายังไม่เต็มที่ รวมถึงขั้นตอนและค่าใช้จ่ายสูงขึ้น

สำหรับสถานการณ์ส่งออกข้าวไทยช่วงครึ่งหลังปี 2563 ยังมีปัจจัยกดดันให้ส่งออกข้าวไทยปี 2563 ถึงเป้าหมาย 7.5 ล้านตัน โดยเดือนกรกฎาคมนี้สมาคมฯจะทบทวนอาจปรับลดเป้าหมายการส่งออกเหลือ 6.0-6.4 แสนตัน เนื่องจากเป้าหมาย 7.5 ล้านตันต้องส่งออกเฉลี่ยเดือนละ 6.2 แสนตัน แต่พบว่า 5 เดือนแรกส่งออกรวมต่ำกว่าเป้า 1 ล้านตัน ดังนั้นครึ่งปีหลังต้องส่งออกเฉลี่ย 7 แสนตันต่อเดือน ซึ่งมีโอกาสน้อย และมีโอกาสเฉลี่ยเดือนละ 5.0-5.5 แสนตัน  เพราะยังติดในเรื่องกำลังซื้อประเทศนำเข้าที่เจอวิกฤตโควิดระบาดลดลง และผู้นำเข้าไปเจรจาซื้อข้าวจากประเทศราคาถูกกว่าไทย ซึ่งไทยเจอปัญหาต้นทุนราคาข้าวในประเทศสูงจากแล้งผลผลิตน้อยกว่าปกติและค่าบาทแข็งมากเทียบประเทศผู้ส่งออก อาทิ ราคาข้าวไทยสูงกว่าเวียดนามตันละ 50-60 เหรียญสหรัฐฯ ทำให้ที่ผ่านมาไทยไม่ได้ชนะประมูลการขายข้าวให้กับฟิลิปปินส์

“ปัญหาเฉพาะหน้าคือค่าบาทไทยแข็งค่ากว่าสกุลอื่น ทำให้ขีดความสามารถแข่งขันด้านราคาสู้เขาไม่ได้ ตอนนี้บาทที่แข่งขันได้คือ 32.50 บาท  แต่เชื่อว่าบาทคงไม่หลุด 32 บาทในระยะเวลาอันสั้นนี้ อีกเรื่องที่จะเป็นปัญหาระยะยาวกับส่งออกข้าวไทย คือ ข้าวนุ่มที่กำลังเป็นที่นิยมในตลาดโลก ไทยมีต่ำมาก อย่างปีนี้ฟิลิปปินส์ 5 เดือนนำเข้าข้าว 8 แสนตัน ในจำนวนนี้นำเช้าจากเวียดนาม และส่วนใหญ่เป็นข้าวนุ่ม ไทยมีเพียงไม่กี่หมื่นตัน ก็ห่วงว่าครึ่งหลังปีนี้ที่จะมีอินโดนีเซียและมาเลเซียเปิดประมูล ไทยอาจเสียตลาดให้คู่แข่งอีก แต่อย่างไรก็ตาม ตัวแปรสำคัญคือฝนชุกทำให้ผลผลิตรอบใหม่ที่จะออกสู่ตลาดอีก 2-3 เดือนข้างหน้าเพิ่มขึ้นมาก จนกระทบต่อต้นทุนข้าวในประเทศลดลง เมื่อต้นทุนข้าวลดลงอาจชดเชยบาทที่แข็งค่าได้บ้างส่วนและสามารถเพิ่มส่งออกได้บ้าง แต่โอกาสส่งออกข้าวทั้งปีนี้ไม่น่าจะถึง 7 ล้านตัน  “

นายชูเกียรติ กล่าวต่อว่า สมาคมฯได้มีการรวบรวมปัญหาและเตรียมข้อเสนอต่อที่ประชุมคณะทำงานยุทธศาสตร์ข้าว ที่กระทรวงพาณิชย์จะดำเนินการทำยุทธศาสตร์ข้าวไทย 3 ปีที่กรมการค้าภายใน เป็นหน่วยงานหลัก โดยเสนอให้เร่งพัฒนาและเพิ่มผลผลิตพันธุ์ข้าวนุ่ม และเพิ่มผลผลิตต่อไร่เกษตรกรเกิน 1,000 กิโลกรัม จากเดิม 600-700 กิโลกรัม เรื่องนี้ผลดีทั้งการตลาดที่ไทยไม่ต้องกังวลแต่ต้องมีชนิดข้าวที่ตลาดโลกต้องการและราคาสู้ได้ ส่วนเกษตรกรก็ได้ประโยชน์จากขายข้าวได้ต่อเนื่องและรายได้เท่าเดิม เรื่องนี้รัฐต้องเร่งดำเนินการภายใน 1-2 ปีจากนี้ เพราะไม่อย่างนั้นส่งออกข้าวไทยจะซ้ำรอยสหรัฐ จากเคยเป็นประเทศผู้ส่งออกอันดับหนึ่งของโลกก่อนปี 2513 ต้องเสียให้ตลาดส่งออกให้ไทยเพราะมีข้าวหอมและข้าวราคาถูกกว่าเข้าตีตลาด ทำให้วันนี้สหรัฐส่งออกเหลือ 2-3 ล้านตันต่อปี ซึ่งไทยเองก็ส่งออกได้ลดลงต่อเนื่อง หากไม่เร่งปรับตัวไม่เกิน 10 ปีส่งออกไทยก็จะเหลือปีละ 2-3 ล้านตันเช่นกัน

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image