C300e เอเอ็มจี สปอร์ต ‘ปลั๊กอิน’ หรู-ทรงพลัง : โดย นายพล

C300e เอเอ็มจี สปอร์ต ‘ปลั๊กอิน’ หรู-ทรงพลัง : โดย นายพล

ได้มีโอกาสเข้าร่วมกิจกรรมพบปะพูดคุยกับผู้บริหาร บริษัท เมอร์เซเดส เบนซ์ ประเทศไทย “บีเยิร์น กุซเทรา” รองประธานบริหารฝ่ายขายและการตลาด ผู้นำตลาดรถยนต์หรูในประเทศไทย ถึงสถานการณ์การทำตลาดในประเทศไทย ในสถานการณ์ยุคโควิด

ทางเบนซ์ยืนยันว่าจะเดินหน้าลงทุนในประเทศไทยต่อไป แต่โครงการรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยคงต้องพับไปก่อน โดยยังไม่มีกำหนดว่าจะเริ่มทำตลาดรถยนต์ไฟฟ้าเมื่อไหร่ ขึ้นกับสถานการณ์โควิด เหตุผลเดียวคือไม่คุ้มค่ากับการลงทุน

ส่วนสาเหตุที่ไม่เข้าร่วมงานมอเตอร์โชว์ 15-26 ก.ค.นี้ แม้ว่าผู้จัดจะมีมาตรการป้องกันโควิดอย่างดี แต่ถือเป็นนโยบายจากบริษัทแม่ แม้ว่าที่ผ่านมาเบนซ์เป็นลูกค้ารายใหญ่ของงานมอเตอร์โชว์มาโดยตลอดก็ตาม

บีเยิร์น กุซเทรา

เบนซ์ยังเตรียมใช้กลยุทธ์จั๊มสตาร์ต เน้นยกเครื่องกระบวนการการให้บริการลูกค้า โดยเน้นการตลาดแบบดิจิทัลทุกรูปแบบมากขึ้น และเตรียมพบกับกิจกรรมต่างๆ ของเบนซ์กำลังจะทยอยออกมาในเร็วๆ นี้

Advertisement

นอกจากนี้ เบนซ์ยังจัดกิจกรรมให้ทดลองขับ Mercedes-Benz C300e AMG Sport (เมอร์เซเดส-เบนซ์ ซี300อี เอเอ็มจี สปอร์ต) รถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดดีไซน์สปอร์ตขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า อีคิว เพาเวอร์ (EQ Power) เจเนอเรชั่นที่ 3 ที่เพิ่งเปิดตัวไปสดๆ ร้อนๆ เมื่อไม่กี่วันมานี้

ซี300อี เอเอ็มจี สปอร์ต ปลั๊กอินไฮบริด ให้สมรรถนะการขับขี่มาแบบเหนือๆ กว่ารถยนต์ทั่วไปจากเครื่องยนต์เบนซินขนาด 1991 ซีซี พร้อมระบบส่งกำลังอัตโนมัติ 9 จังหวะแบบ 9จี-ทรอนิก (9G-TRONIC) ให้กำลัง
สูงสุด 320 แรงม้า ให้แรงบิดสูงสุด 700 นิวตันเมตร และเมื่อผสานกับมอเตอร์ไฟฟ้าจึงให้กำลังสูงสุดดีขึ้นอีกที่ 122 แรงม้า (90 กิโลวัตต์)

มีระบบที่ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถขับขี่ด้วย อี-โหมด (E-Mode) หรือโหมดไฟฟ้า ได้ไกลกว่าเดิมถึง 30% หรือวิ่งในโหมดนี้ได้ไกลสูงสุดถึง 50 กิโลเมตร ด้วยความเร็วสูงสุด 130 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร สามารถทำได้ในเวลา 5.4 วินาที ถือว่าไม่ธรรมดาเลยทีเดียว

Advertisement

คันเร่งตอบสนองได้ดีมาก ข้อควรระวังคืออย่ากดคันเร่งเพลิน เพราะความเร็วจะมาอย่างรวดเร็ว เผลอแป๊บเดียวตัวเลขขึ้นไปอยู่ในพิกัดความเร็วสูง ต้องรีบถอนคันเร่งแทบไม่ทัน

รูปลักษณ์ภายนอกไฟ LED ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ทำให้มองเห็นได้ชัดและช่วยเพิ่มความปลอดภัยมากขึ้น ดีไซน์สะดุดตาของไฟหน้าและไฟท้ายส่องสว่างในตอนกลางวัน จะส่องสว่างโดดเด่นยิ่งขึ้นในตอนกลางคืน ด้วยระบบไฟหน้าแบบแอลอีดี ไฮ เพอร์ฟอร์แมนซ์

เติมความสปอร์ตรูปลักษณ์ภายนอก ด้วยชุดตกแต่งภายนอกแบบเอเอ็มจี บอดี้ สไตลิ่ง พร้อม ไนท์ แพคเกจ สีดำเงา ทั้งในส่วนของกระจกมองหลังด้านข้าง กระจังหน้า กันชนหน้าและกันชนหลัง รวมถึงล้ออัลลอย เอเอ็มจี 5 ทวิน-สโป๊ก ขนาด 18 นิ้ว ตกแต่งด้วยสีดำ

ภายในห้องโดยสารออกแบบพิเศษ เพื่อสะท้อนให้เห็นความหรูหรา ความสะดวกสบายและเทคโนโลยีภายใต้ดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์สไตล์เบนซ์ เริ่มตั้งแต่วัสดุตกแต่งห้องโดยสารแบบ โอเพ่น-พอร์ แบล๊ก แอช วู้ด และอะลูมิเนียม และเบาะนั่งแบบสปอร์ตหุ้มด้วยหนัง อาร์ติโป สีดำตัดสลับด้วย ไดนามิกา ไมโคร-ไฟเบอร์ ไปจนถึงแผงหน้าปัดดิจิทัลเต็มรูปแบบพร้อมหน้าจอความละเอียดสูงขนาด 12.3 นิ้ว สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบได้มากถึง 3 สไตล์ ได้แก่ คลาสสิก, สปอร์ตี้ และโปรเกรสซีฟ สามารถปรับเปลี่ยนการแสดงผลได้ตามต้องการ เพื่อลดขั้นตอนการเข้าเมนู และทำให้ผู้ขับขี่ใช้เวลาในการอ่านข้อมูลน้อยลงเพื่อความปลอดภัย

ระบบความบันเทิง ออดิโอ 20 ใช้งานได้ทั้งบนหน้าจอสัมผัสขนาด 10.25 นิ้วและบนพวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น นอกจากนี้ ฟังก์ชั่นการเชื่อมต่อสมาร์ทโฟน พร้อมระบบแอปเปิล คาร์เพลย์ รวมถึงทุกฟังก์ชั่นบนระบบ ออดิโอ 20 จีพีเอส ออกแบบมาเพื่อให้มีการรบกวนผู้ขับขี่น้อยที่สุด

อีกหนึ่งไฮไลต์ในห้องโดยสารคือ แสงในห้องโดยสารสามารถปรับเปลี่ยนได้สูงสุด 64 สี ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถสร้างบรรยากาศของห้องโดยสารที่ชอบและเติมอารมณ์การขับขี่ วางจำหน่ายในราคา 2,699,000 บาท

เป็นอีกคำตอบที่ทำให้เชื่อได้ว่า เมอร์เซเดส-เบนซ์ จะยังคงเป็นผู้นำตลาดรถยนต์หรูต่อไป หากยังคงผลิตรถยนต์ได้มาตรฐานขนาดนี้

เหมือนที่หลายคนเคยพูดว่า “รถเบนซ์ก็ยังเป็นรถเบนซ์ วันยันค่ำ คืนยันรุ่ง”

นายพล

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image