เช็กอาการ ก่อนลงเข็ม “ฟิลเลอร์”
เพราะความสวยไม่เคยสิ้นสุด แถมยังมีเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่มาช่วยให้เราคลายกังวลกับปัญหาผิว และริ้วรอยได้โดยใช้เวลาไม่นาน อย่างนวัตกรรม “การฉีดฟิลเลอร์” เพื่อเติมเต็มส่วนที่พร่อง ปรับรูปหน้า เสริมความยืดหยุ่นให้ผิวอ่อนเยาว์ ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ได้รับความนิยมไม่น้อย
นพ.วชิระ คุณาธาทร หรือ หมอฟรุ๊ท แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการปรับรูปหน้า ผู้คร่ำหวอดในวงการความงามมากกว่า 15 ปี เผยว่า จากแต่ก่อนที่ฟิลเลอร์ ใช้เพื่อเติมเต็ม คืนความอ่อนเยาว์นั้น ปัจจุบันกลายเป็นเติมเต็มความงามเฉพาะตัวบุคคล สร้างเอกลักษณ์ด้วยการทำเฟซดีไซน์ สร้างเอกลักษณ์บนใบหน้า เช่น เพิ่มโหนกแก้ม ให้คางที่สวยขึ้น หรือลดความกว้างและหนาของโหนกแก้ม โดยไม่ต้องศัลยกรรม สารที่นิยมใช้มากที่สุดคือ ไฮยาลูโรนิค เอซิด ที่จะสลายตัวตามธรรมชาติได้ในเวลา 12-18 เดือน ซึ่งสาวๆ นิยมฉีดฟิลเลอร์ที่บริเวณกลางใบหน้า ประกอบด้วย แก้ม ร่องแก้ม ร่องใต้ตา รองลงมาคือคาง โดยคนไข้นิยมเปลี่ยนรูปของคางให้เป็นคางที่มีมุมแหลมขึ้น เชิดขึ้น ตามองศาที่เหมาะสม ซึ่งจะช่วยเปลี่ยนลุคและคาแร็กเตอร์ได้
หมอฟรุ๊ทเผยอีกว่า จุดเสี่ยงที่ต้องระมัดระวังอย่างมาก เพราะเสี่ยงจะเกิดผลแทรกซ้อนที่รุนแรงมากที่สุด คือ รอยย่นระหว่างคิ้ว จมูก และหน้าผาก เพราะเป็นบริเวณที่มีเส้นเลือดที่ย้อนไปเลี้ยงจอประสาทตา หากขาดความเชี่ยวชาญ อาจทำให้สารที่ฉีดเข้าสู่เส้นเลือด ก่อให้เกิดการอุดตา เลือดไม่ไปเลี้ยงจอประสาทตาและตาบอดได้
พร้อมกันนี้ นพ.วชิระยังให้คำแนะนำ สำหรับการฉีดฟิลเลอร์ไว้ 3 ข้อ ได้แก่
1.แพทย์ต้องเชี่ยวชาญ สถานประกอบการต้องได้รับมาตรฐาน เพราะจะให้คำแนะนำและการรักษาที่ถูกวิธี ปลอดภัย ผลลัพธ์ตามต้องการ
2.ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ต้องเป็นของแท้ นำเข้าถูกต้องจากบริษัทที่รับรองตามกฎหมาย
และ 3.ต้องรู้สุขภาพตัวเอง คนไข้ต้องรู้ภาวะร่างกายตัวเอง หากมีข้อบ่งชี้ว่าไม่สามารถฉีดได้ อาจก่ออันตรายมากกว่า เช่น หญิงตั้งครรภ์ ผู้ที่มีประวัติเป็นภูมิแพ้อย่างรุนแรง ผู้ที่มีอาการอักเสบติดเชื้อในบริเวณที่เราจะฉีดฟิลเลอร์เข้าไป ต้องรักษาอาการอักเสบติดเชื้อตรงนั้นหายก่อน เช่น เริม งูสวัด หรือเป็นสิวอักเสบที่ค่อนข้างรุนแรง เช่น สิวหัวช้าง ผู้ที่มีปัญหาเลือดออกง่าย ตลอดจนผู้ที่กำลังรับประทานยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด ซึ่งคนไข้ต้องปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนรับการรักษา
รู้ก่อนสวย
