วันที่ 19 กรกฎาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีชาวบ้านตาล หมู่ 9 ตำบลนาหว้า อำเภอนาหว้า จังหวัดนครพนม กว่า 40 คนรวมตัวกันที่บ้านเลขที่ 118 หมู่ 9 ข้างหวัดศรีมงคล ซึ่งเป็นบ้านของนางสวรรค์ สิงห์โคตร ร้องเรียนว่าองค์การบริหารส่วนตำบล(อบต.)นาหว้าได้แจ้งยุบกองทุนสวัสดิการชุมชนตำบลหว้าอย่างกระทันหัน โดยแจ้งว่ากองทุนขาดทุนไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้ ส่งผลให้ชาวบ้านที่ส่งเงินสะสมได้รับความเดือดร้อนจำนวนมาก เพราะได้เงินคืนเพียงไม่กี่ร้อยบาท
น.ส.ลอน ตาลอุ่นศรี อายุ 60 ปี หนึ่งในสมาชิกของกองทุนดังกล่าว เปิดเผยว่า สมาชิกส่วนใหญ่จะเป็นผู้สูงอายุ โดยจะมีสมุดประจำตัวสมาชิกของกองทุน ชื่อเต็มๆว่า “กองบุญเพื่อสวัสดิการองค์การบริหารส่วนตำบลนาหว้า” ซึ่งโครงการดังกล่าวเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2551 ขณะนั้นมีนายสนั่น บุตรจันทร์ เป็นนายกองค์การบริหารส่วนตำบลนาหว้า ประกาศแจ้งกับประชาชนว่ารัฐได้ส่งเงินสนับสนุนมาให้จำนวนหนึ่ง เพื่อนำมาช่วยเหลือประชาชนในชุมชน จึงได้จัดตั้งกองทุนสวัสดิการฯ โดยชักชวนชาวบ้านร่วมกันสะสมเงินวันละ 1 บาท มีระเบียบดังนี้ หากสมาชิกเสียชีวิตจะได้รับเงินฌาปนกิจตามขั้นบันได เช่น เป็นสมาชิกน้อยกว่า 3 เดือน ได้รับเงินช่วยเหลือ 300 บาท หรือเป็นสมาชิกครบ 8 ปี ได้รับเงิน 20,000 บาท แต่ถ้าเป็นสมาชิกครบ 12 ปี จะได้รับเงินถึง 30,000 บาท เป็นต้น และถ้าเจ็บป่วยต้องนอนโรงพยาบาล จะได้เงินตอบแทนวันละ 100 บาท แต่ไม่เกิน 1,000 บาท จึงตั้งชื่อกองทุนนี้ว่า ”กองบุญเพื่อสวัสดิการองค์การบริหารส่วนตำบลนาหว้า” ซึ่งในครอบครัวหนึ่งที่มีลูกหลานหลายคนสามารถส่งเงินสะสมได้มากกว่า 1 กองบุญ โดยจะมีเจ้าหน้าที่มาเก็บเงินถึงบ้านเป็นเดือน ซึ่งในหมู่บ้านตาลแห่งนี้มีคนเข้าเป็นสมาชิกมากถึง 900 คน จากจำนวนทั้งสิ้น 1,700 คน
น.ส.ลอน กล่าวว่า หลังก่อตั้งมีสมาชิกเสียชีวิต หรือเจ็บป่วยก็ได้รับเงินตามเงื่อนไขจริง มาระยะหลังประมาณปี 2558 กองบุญเริ่มมีปัญหาและจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ไม่มีการเรียกสมาชิกเข้าประชุมแม้แต่ครั้งเดียว อีกอย่างทาง อบต.นาหว้า ก็ไม่เคยเปิดเผยรายชื่อคณะกรรมการ เช่น มีใครเป็นเลขาฯ เหรัญญิก นายทะเบียน ฯลฯ รู้แค่เพียงมีนายสนั่น ซึ่งเป็นนายก อบต.นาหว้า เป็นประธานเท่านั้น ต่อมาปี 2560 นายสนั่น มีปัญหาด้านการบริหาร จึงถูกให้ออกจากการเป็นนายก อบต.นาหว้า และมาทราบเรื่องในภายหลังว่าเงินสะสมที่สมาชิกส่งทุกเดือนหายไปจากบัญชี เพราะคณะกรรมการนำเงินจำนวน 400,000 บาท ไปซื้อสลาก ธกส. โดยอ้างว่าการซื้อสลากจะได้ดอกเบี้ยมากกว่าฝากธนาคารทั่วไป และเงินจะไม่สูญหายไปไหน
“แต่ที่แย่ไปกว่านั้นคือ มาทราบภายหลังว่านายสนั่นอดีตนายก อบต.นาหว้ามีการถอนเงินออกจากบัญชีกองบุญเพื่อสวัสดิการฯไปใช้ส่วนตัวถึง 1,060,000 บาท แต่มีการใช้คืนมาบางส่วนจึงเหลืออีก 400,000 บาท เมื่อมีการสอบถามการนำเงินออกไปใช้นายสนั่นไม่ยอมให้รายละเอียด บอกเพียงว่าจะขอรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว ซึ่งต่อมานายสนั่นถูกศาลสั่งเป็นบุคคลล้มละลาย ชาวบ้านจึงเกรงว่าเงินที่เหลือจะสูญไปด้วย” น.ส.ลอนกล่าว
นายหนูรักษ์ วาณะวงค์ สมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบลนาหว้า หมู่ 9 ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติมต่อหน้าชาวบ้านที่มาร้องเรียน ว่า ปัญหาเงินสะสมกองบุญ มีมาตั้งแต่ปี 2557 แต่ไม่มีการเปิดเผยให้สมาชิกทราบ ทุกคนต่างปิดกันเป็นความลับหมด ตนในฐานะ ส.อบต.นาหว้า ซึ่งเป็นเสียงข้างน้อยพูดอะไรมากไม่ได้ ส่วนที่ชาวบ้านสงสัยใครเป็นเลขาฯ เหรัญญิก ควรไปหานายสุขสันต์ บรรเทาทุกข์ ปลัด อบต.นาหว้า ที่เป็นรักษาการนายก อบต.นาหว้า
นายหนูรักษ์ฯ กล่าวว่า อบต.นาหว้า พยายามจะพยุงกองทุนสวัสดิการฯ ให้อยู่ตลอดรอดฝั่ง จึงยื่นหนังสือของบสนับสนุนจากพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดนครพนม แต่มีหนังสือตอบกลับมาว่าไม่สามารถจะให้เงินสนับสนุนได้ เพราะบัญชีของกองทุนไม่ปกติ
ล่าสุดทาง อบต.นาหว้า จึงมีหนังสือถึงสมาชิกจำนวน 1,700 คน เพื่อเข้าร่วมประชุมเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคมที่ผ่านมา เพื่อแจ้งต่อสมาชิกถึงเหตุผลจำเป็นต้องยุบกองบุญดังกล่าว เนื่องจากประสบปัญหาการเงินขาดสภาพคล่อง โดยอ้างว่ามีคนตายเยอะเกินไป พร้อมแจงตัวเลขมีเงินคงเหลือ 846,920 บาท เมื่อนำมาถัวเฉลี่ยคืนสมาชิกก็จะได้ไม่มากนัก เช่น กรณีฝากสะสมเกิน 10 ปี จะได้คืนเพียง 600 บาท บางรายได้คืนแค่ 9 บาทเท่านั้น
นางพณารัตน์ ปาทา อายุ 46 ปี สมาชิกกองบุญ เปิดเผยว่า ฝากเงินสะสมวันละ 1 บาท มาเป็นเวลา 11 ปี คิดเป็นเงินสุทธิ 4,015 บาท ได้เงินคืนเพียง 500 กว่าบาท ส่วนคนที่ฝาก 12 ปี ได้คืน 600 บาท รับยอมรู้สึกช็อกและเสียความรู้สึกที่ถูกหลอกให้สะสมเงิน ทั้งๆที่รู้ว่าโครงการนี้เจ๊งตั้งแต่ปี 2557 แต่ยังให้เจ้าหน้าที่มาเก็บเงินอีกจนถึงปัจจุบัน และตั้งแต่ก่อตั้งมาไม่เคยเรียกสมาชิกเข้าประชุมหารือแม้แต่ครั้งเดียว ดังนั้นอยากจะวิงวอนผู้เกี่ยวข้องดำเนินการกับขบวนการนี้ ไม่ใช่อดีตนายก อบต.ฯ เป็นบุคคลล้มละลายแล้วหนี้สูญ เพราะการเบิกเงินจากธนาคารต้องเซ็นชื่อสองในสาม จึงต้องติดตามผู้ร่วมกระทำผิดมาลงโทษตามกฎหมาย
สำหรับบ้านตาล ตำบลนาหว้า มีชื่อเสียงโด่งดังเพราะเป็นหมู่บ้านแห่งเดียวของจังหวัดนครพนมที่ได้รับการกล่าวขานเกี่ยวกับอาชีพสุดแปลก ส่วนใหญ่ของชาวบ้านในหมู่บ้านแห่งนี้จะมีรายได้หลักจากอาชีพนำไส้เดือน ปลิง จิ้งจก และตุ๊กแก มาตากแห้งส่งออกไปขายต่างประเทศ สร้างรายได้มายาวนานกว่า 20 ปี จนได้ชื่อว่าเป็นหมู่บ้านอาชีพแปลก