เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม ผู้สื่อข่าวรานงานว่า จากกรณีที่สถานการณ์การขาดแคลนหน้ากากอนามัยเริ่มคลี่คลายลงแล้ว คาดว่าสิ้นเดือนกรกฎาคมนี้ จะมีกำลังผลิตรวมจากทุกโรงงานในประเทศไทย เพียงพอต่อความต้องการของประชาชน นอกจากนี้ประชาชนหันมาใช้หน้ากากอนามัยชนิดผ้ามากขึ้น ทำให้ความต้องการใช้หน้ากากอนามัยเพียงพอต่อบุคลากรทางการแพทย์ เวลานี้โรงพยาบาลต่างๆ มีหน้ากากอนามัยสต็อกไว้ใช้นานถึง 2 เดือนแล้ว ขณะที่ทางโรงงานของซีพีได้ผลิตหน้ากากออกมาสำหรับแจกจ่ายฟรีแก่โรงพยาบาล บุคลากรทางการแพทย์อีกทางหนึ่งด้วย
ทั้งนี้ คาดว่าใน 1-2 เดือนจากนี้จะมีทิศทางที่ดีขึ้น ซึ่งหน้ากากอนามัยที่ผลิตในไทยปัจจุบันได้กระจายผ่านไปยังกระทรวงสาธารณสุข 1.8 ล้านชิ้นต่อวัน กระทรวงมหาดไทยรวมถึงโรงเรียนรวม 1.2 ล้านชิ้นต่อวัน ยังมีส่วนต่างของกำลังผลิตเหลืออยู่ ทำให้สามารถกระจายเข้าสู่ร้านขายยา และองค์กรต่างๆ ที่ต้องการและขอเข้ามามากขึ้น
ขณะเดียวกัน โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ได้แจกจ่ายหน้ากากอนามัยฟรี ที่ได้จากโรงงานหน้ากากซีพี ไปแล้วกว่า 8 ล้านชิ้น ให้แก่โรงพยาบาล แพทย์ พยาบาล ทั่วประเทศ รวมถึงองค์กรมูลนิธิเพื่อสาธารณประโยชน์ ต่างๆ รวม 1,021 แห่ง
ด้านศ.นพ.สุทธิพงศ์ วัชรสินธุ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย และคณบดี คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า เมื่อสถานการณ์การขาดแคลนหน้ากากอนามัยคลี่คลาย บุคลากรทางการแพทย์และโรงพยาบาลมีหน้ากากอนามัยสำหรับใช้และมีสำรองไว้เพื่อใช้ในการป้องกันโรคโควิด-19 อย่างเพียงพอ ทางโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย จึงมีหนังสือถึงโรงงานหน้ากากอนามัยซีพี จัดสรรหน้ากากอนามัยบางส่วนจำหน่ายในราคาย่อมเยา และเป็นธรรม เพื่อการเข้าถึงของประชาชน ตามขั้นตอนและระเบียบของกรมการค้าภายใน โดยนำกำไรทั้งหมด บริจาคให้กับโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทยต่อไป คาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ภายในเดือนสิงหาคมนี้
ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ฯ กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยสามารถควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้เป็นที่น่าพอใจ ประชาชนทั่วไปที่ไม่ได้มีอาการป่วยไข้หวัด ไอ จาม ไม่ได้เข้าไปอยู่ในพื้นที่เสี่ยง ไม่ได้ดูแลผู้ป่วยหรือผู้เสี่ยงสัมผัสโรคโควิด-19 สามารถป้องกันตนเอง โดยการสวมใส่หน้ากากอนามัยแบบผ้าได้ โดยขอให้สวมหน้ากากอนามัยอยู่เสมอ หลีกเลี่ยงการเข้าไปในสถานที่แออัด คนรวมตัวกันหนาแน่น งดออกนอกบ้านโดยไม่จำเป็น
