ครบรอบ 133 ปี โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า “แดง” ไปกล่าวกับนักเรียนนายร้อยว่า “โควิด” เป็นแล้วหาย แต่ที่รักษาไม่หายคือ “โรคชังชาติ”
แค่การเล่นลิ้นเป็นสำนวน !
ไม่จริงเลยสักอย่าง
ข้อแรก โควิดเป็นแล้วหาย ทำไมยังมีตายกันกระหึ่มอยู่ทุกวัน
ติดเชื้อรวมกัน 19 ล้านคน ตายไปแล้ว 7 แสนคน และยังจะทยอยตายกันต่อไปเรื่อยๆ
ข้อต่อมาที่ว่า “รักษาไม่หายคือโรคชังชาติ” นั้นยิ่งแล้วใหญ่
“แดง” เป็นผู้ใหญ่รับราชการมานานจนจะเกษียณอายุในวันที่ 30 กันยายนนี้แล้ว ควรมีมุมมองทั้งไกลและกว้างอย่างเข้าใจในบริบท
ไม่ควรหยิบยืมสำนวนใครมาใช้ปลุกความเกลียดชัง
แดงเป็นข้าราชการทหารต้องไม่แบ่งพวกแบ่งฝ่ายทางการเมือง และต้องไม่จุดไฟขึ้นในบ้านเมือง
ถ้าเป็นน้ำก็ต้องเป็น “น้ำเย็น” มากด้วยวุฒิภาวะจะราดหรือชโลมก็เย็นฉ่ำ ไม่ใช่น้ำร้อนหรือน้ำเน่าที่เมื่อสาดไปแล้วผู้คนเผ่นหนี !
ดังเช่น จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ ส.ส.เชียงใหม่ เพื่อไทย ที่เมื่อได้ยินแดงพูดก็ออกมาทวีตทันทีว่า “จากผีคอมมิวนิสต์ในอดีต ถึงคนชังชาติในปัจจุบัน เวลาอาจจะเปลี่ยน แต่ยุทธวิธีในการสร้างความเกลียดชังแบ่งแยกคนในชาติไม่เคยเปลี่ยน”
ขณะที่ การุณ โหสกุล ส.ส.กทม.เพื่อไทย ก็โพสต์ด้วยว่า เด็กๆ เขาไม่ได้ชังชาติ แต่เขาชังพวกคุณที่ลากรถถังออกมายึดอำนาจแล้วก็ไม่มีฝีมือบริหารประเทศ ไม่มีอนาคตสำหรับเด็กๆ
ที่ต่างคนต่างมีวิถี มีความคิด มีมุมมองแตกต่างกันนั้นไม่ใช่ “ความชัง” !
เยาวชนชุมนุมเรียกร้องต่อรัฐบาล 1.ให้หยุดคุกคามประชาชน 2.ให้ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ และ 3.ให้ยุบสภา ก็เป็นความปกติของสังคมประชาธิปไตยที่ต้องมีการปรับปรุงแก้ไขให้เจริญพัฒนาอยู่เสมอ
สังคมไทยในภายภาคหน้าจะมีความสงบสุข รื่นรมย์ มีสันติภาพได้อย่างไรถ้าคนอย่าง “แดง” จุดไฟความเกลียดชังขึ้นในหัวใจของน้องๆ จปร.ซึ่งเป็นเยาวชนรุ่นลูกหลาน
“ผู้เป็นใหญ่” จะไม่น่าชัง ถ้ามีหัวใจที่อ่อนโยนและความคิดที่เปิดกว้างสามารถได้ยิน “เสียง” ของผู้คนอันหลากหลายไพศาล
พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ เป็นถึง “ผบ.ทบ.” ไม่น่าจะไปหยิบเอาขี้ปากนักการเมืองชั้นปลายแถวมาพ่นให้ผู้คนดูแคลน !?!!!