คาเมรอน ดิแอซ เปิดใจ ‘ทิ้งวงการฮอลลีวู้ด’ เพราะเจอชีวิตใหม่ที่สงบ

วันที่ 8 สิงหาคม 2563 - 16:24 น.

ซีเอ็นเอ็น รายงาน คาเมรอน ดิแอซ อดีตนางเอกดังวัย 47 หนึ่งใน “นางฟ้าชาร์ลี” ให้สัมภาษณ์เปิดใจกับ กวินเน็ธ พัลโทรว์ เพื่อนนางเอกดังในรายการ In goop Health เมื่อวันพุธที่ 5 สิงหาคม เกี่ยวกับธุรกิจไวน์ของเธอ และสุขภาพจิตของเธอที่เปลี่ยนไปเมื่อมีอายุมากขึ้น และผลกระทบจากอาชีพนักแสดงที่ส่งผลต่อชีวิตและความสัมพันธ์ของเธอกับคนรอบข้าง

“ฉันตัดสินใจว่าต้องการทำสิ่งอื่นๆ อีกในชีวิต ที่ผ่านมาฉันทำงานหนักมานาน การถ่ายหนังเป็นอะไรที่ยืดเยื้อ จนฉันไม่มีเวลาให้กับชีวิตส่วนตัว” อดีตนางเอก ซึ่งเคยได้รับเสนอชื่อรางวัลโกลเดน โกลบส์ หรือลูกโลกทองคำ 4 ครั้งตลอดเวลา 20 ปีในวงการระหว่างปี 2537-2557 มีผลงานสร้างชื่ออาทิ The Mask (ปี 2537 ), There’s Something About Mary (ปี 2541) และ Vanilla Sky (ปี 2544) Charlie’s Angels (ปี 2543 ) ให้สัมภาษณ์ตอนหนึ่ง

เมื่อถูกถามว่า รู้สึกอย่างไรที่เดินออกจากวงการฮอลลีวู้ดทั้งที่อยู่ในช่วงขาขึ้น ดิแอซ ซึ่งแต่งงานกับ เบนจี แมดเดนจาก “กู้ดชาร์ลอตต์” เมื่อปี 2558 มีลูกสาว “แรดดิกซ์ แมดเดน” คลอดเมื่อต้นปีที่ผ่านมา บอกว่า “ฉันได้พบความสงบในใจ และตัดสินใจจะดูแลตัวเอง”

ดิแอซ ขยายความว่า เธอตัดสินใจที่จะหันมาใส่ใจดูแลความสัมพันธ์ของเธอกับคนในครอบครัว เพื่อนฝูง หลังจากที่ปล่อยให้คนอื่นเข้ามาจัดการดูแลเรื่องต่างๆ ในชีวิตของเธอมานาน

“เมื่อคุณออกไปถ่ายหนัง มันเป็นข้ออ้างที่สมบรูณ์แบบว่า พวกเขาติดหนี้คุณ เพราะคุณต้องออกไปทำงานวันละ 12 ชั่วโมงนานหลายเดือนกว่าหนังจะปิดกล้อง จนคุณไม่มีเวลาทำอะไรอย่างอื่นเลย นักแสดงถูกประคบประหงมเหมือนทารก พวกเราถูกจับวางอยู่ในตำแหน่งที่มีคนดูแลจัดการทุกสิ่งทุกอย่างให้หมด”

อดีตนางเอกดัง บอกไม่เคยมีความสุขกับชีวิตแบบนั้น และต้องกลับมารับผิดชอบ ทำทุกสิ่งทุกอย่างด้วยตัวเอง เมื่อหันหลังให้วงการบันเทิง เพื่อต้องการพิสูจน์ว่า เธอก็สามารถดูแล รับผิดชอบตัวเองได้ในฐานะผู้ใหญ่คนหนึ่ง

“และฉันต้องการใช้ชีวิตแบบที่ฉันต้องการ มากกว่าใช้ชีวิตแบบที่คนอื่นคิดว่าควรจะเป็น”
ดิแอซ บอกด้วยว่า การมีชีวิตท่ามกลางสายตาผู้คน ทำให้เธอเครียด เพราะ “เมื่อคุณออกไปปรากฎตัวต่อสาธารณชนในฐานะนักแสดง ไม่ว่าในงานแถลงข่าว มันมีแรงสั่นสะเทือนวิ่งเข้าหาคุณตลอดเวลา”

ที่ผ่านมา ดิแอซ ออกหนังสือมา 2 เล่ม The Body Book” และ “The Longevity Book”