ผู้เขียน | ศ.ชยานันต์ ศุกลวณิช |
---|
ทำเนียบขาวเปิดศึกการทูตสหรัฐ-จีน โดย ศ.ชยานันต์ ศุกลวณิช
เมื่อสหรัฐทำการคว่ำบาตรข้าราชการรัฐบาลจีนและเขตปกครองพิเศษฮ่องกงรวม 11 คน ปักกิ่งก็ประกาศมาตรการตอบโต้โดยพลัน ทั้งนี้ ได้ทำการคว่ำบาตรนักการเมืองและเจ้าหน้าที่องค์กรสหรัฐรวม 11 คนเช่นกัน
เป็นครั้งแรกที่จีน-สหรัฐเกิดกรณีพิพาทเกี่ยวกับปัญหาฮ่องกง
แม้จำนวนข้าราชการและเจ้าหน้าที่ไม่มาก
แต่มีความหมายทางการเมืองในเชิงสัญลักษณ์ใหญ่ยิ่ง
เป็นสัญลักษณ์บ่งบอกว่า “ศึกทางการทูต” ระหว่าง 2 ประเทศได้เริ่มขึ้นอย่างจริงจังที่ฮ่องกง
ตั้งแต่การเดินขบวนประท้วงเกี่ยวกับแก้ร่างกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดนให้จีนแผ่นดินใหญ่ สถานการณ์ทางการเมืองฮ่องกงได้มีการเปลี่ยนแปลงในด้านโครงสร้างทั้งในและนอก
การประกาศใช้กฎหมายของรัฐบาลจีนอันเกี่ยวกับ “กฎหมายความมั่นคงเขตปกครองพิเศษฮ่องกง” มีผลกระทบถึงความเคลื่อนไหวทางการเมืองภายนอก
หากเป้าหมายครอบคลุมทั้งนอกและใน
วอชิงตันเล่นเรื่องฮ่องกงแรงเท่าใด ปักกิ่งก็ตอบโต้แรงเท่านั้น
การคว่ำบาตรฝ่ายเดียว ถือเป็นพฤติกรรมก่อศัตรูทางการทูต
เป็นการอันขัดต่อกฎบัตรสหประชาชาติ
การที่วอชิงตันทำการคว่ำบาตรฮ่องกงก่อนนั้น เป็นเพียงกระสุนนัดที่ 1 เท่านั้น จึงยังตัดประเด็นนัดต่อไปมิได้
อย่างไรก็ตาม ฮ่องกงได้กลายเป็นสมรภูมิของประเทศใหญ่ไปเรียบร้อยแล้ว
ท่ามกลางสมรภูมิต้องเดือดร้อนกันทั่วหน้าและหลีกเลี่ยงมิได้
มรสุมทางการเมืองที่จะตามมาอีก เป็นเรื่องที่มองข้ามมิได้
บัดนี้ ความขัดแย้งจีน-สหรัฐดุเดือดและรุนแรง “เรื่องฮ่องกง” เริ่มขึ้นตั้งแต่หลังม่านจนถึงหน้าเวที ปัญหา
แก้ร่างกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดนให้แก่จีนแผ่นดินใหญ่เปลี่ยนแปลงสถานการณ์ฮ่องกงทั้งภายในและภายนอก
รัฐบาลกลางเห็นว่าควรต้องอุดช่องโหว่ อันเกี่ยวกับความมั่นคง เพื่อระงับพลังแทรกแซงฮ่องกงจากภายนอก กฎหมายเกี่ยวกับความมั่นคงเขตปกครองพิเศษฮ่องกงจึงแจ้งเกิด โดยบัญญัติโทษหนักเกี่ยวกับการกระทำดังกล่าว 4 ประการ หนึ่งในนั้นคือพฤติกรรมการรวมตัวกับพลังภายนอกทำการแทรกแซงกิจการภายในเขตปกครองพิเศษฮ่องกง
เมฆหมอกการเมืองระหว่างประเทศผันแปรเปลี่ยนไปเวลาเกินกว่า 1 ศตวรรษที่ฮ่องกงได้เปรียบเสมือนสะพานเชื่อมธุรกิจระหว่างตะวันออกและตก อีกทั้งเป็นศูนย์ข้อมูลทั่วโลกด้วย
ไม่ว่าสหรัฐจะมีพฤติกรรมอย่างใดในฮ่องกง สังคมโลกไม่มีโอกาสได้รับรู้ทั้งหมด แต่มีประเด็น 1 ที่สามารถยืนยันได้ก็คือ พลันที่กฎหมายความมั่นคงฮ่องกงได้มีผลบังคับใช้ พฤติกรรมที่มิชอบด้วยกฎหมายของประเทศหนึ่งประเทศใดโดยอาศัยฮ่องกงเป็นสรณ เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ทางการเมือง นั้น รัฐบาลจีนยอมมิได้เป็นอันขาด
ทันทีที่กฎหมายความมั่นคงฮ่องกงประกาศใช้ วอชิงตันก็ได้ประกาศยกเลิก “นโยบายพิเศษที่มีต่อฮ่องกง” ทันใด
ต่อมาวันที่ 7 สิงหาคม สหรัฐได้ประกาศคว่ำบาตรข้าราชการรัฐบาลกลางและเขตปกครองพิเศษฮ่องกงรวม 11 คน ห้ามมิให้คนอเมริกันหรือนักธุรกิจมีความสัมพันธ์ในทางการเงิน การบริการหรือซื้อขายผลิตภัณฑ์ต่างๆ กับบุคคลดังกล่าว
“ลั่ว ฮุ้ยหนิง” ผู้อำนวยการสำนักประสานงานจีน-ฮ่องกง และ “แคร์รี หล่ำ” ผู้ว่าการเขตปกครองพิเศษฮ่องกง ก็อยู่ในรายชื่อที่ถูกคว่ำบาตรด้วย
ต่อมาวันที่ 10 สิงหาคม รัฐบาลจีนก็ได้ทำการคว่ำบาตรเจ้าหน้าที่อเมริกัน 11 คน
เสมอกัน
รัฐบาลจีนตำหนิว่า พวกเขามีพฤติการณ์เลวร้ายอันเกี่ยวกับการแทรกแซงปัญหาฮ่องกง
เมื่อดูรายชื่อเจ้าหน้าที่สหรัฐ 11 คน สามารถแยกออกเป็น 2 ประเภท
1.นักการเมืองสภาคองเกรสที่ทำการผลักดันกฎหมายกิจการฮ่องกง
2.เจ้าหน้าที่องค์กรผู้ซึ่งเคยถูกกล่าวหาว่าอยู่เบื้องหลังในการสนับสนุนและปลุกระดมให้ต่างประเทศทำงานการเมืองเกี่ยวกับ “ปฏิวัติสี” (Colour Revolution)
ว่ากันว่า การตอบโต้สหรัฐในการคว่ำบาตรของจีนครั้งนี้เป็นไปในรูปแบบ “ฟันต่อฟัน” แต่ไม่ขัดต่อมาตรฐานทางการทูต และไม่เกินเลยไปกว่าที่สหรัฐได้กระทำก่อน
เป็นการสมควรแก่เหตุ
หากพินิจถึงการคว่ำบาตรของสหรัฐนั้น เป็นเรื่องที่ได้ประกาศไว้ล่วงหน้าแล้ว กรณีนอกจากนำมาซึ่งความไม่สะดวกบางประการแก่ข้าราชการจีนและฮ่องกง ยังมีผลกระทบต่อจิตใจอีกด้วย ส่วนการตอบโต้ของปักกิ่งนั้น ก็ไม่เกินความคาดหมาย
การที่สหรัฐ-จีนต่างได้ทำการคว่ำบาตรซึ่งกันนั้น
เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นก่อนในอดีต
บัดนี้ “ฮ่องกง” จึงกลายเป็นสนามรบที่แท้จริงของสหรัฐ-จีน
ดังนั้น คนฮ่องกงควรพินิจให้ดี ไม่ควรหลงประเด็นว่า มาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐคือ
“ความจริงใจต่อฮ่องกง”
สำหรับ “ฮ่องกง” ควรธำรงไว้ซึ่ง “หนึ่งประเทศ” และรักษาไว้ซึ่ง “สองระบบ”
เมื่อ “กฎหมายความมั่นคงฮ่องกง” คลอดแล้ว มีคนฮ่องกงยังสงสัยคลางแคลงใจอันเกี่ยวกับปัญหาความเชื่อถือในทางการเมือง
คนฮ่องกงควรต้องทำความเข้าใจ “หนึ่งประเทศสองระบบ” จำต้องใช้เวลาในการประสมประสาน และเป็นเรื่องภายใน การที่สหรัฐก้าวก่ายแทรกแซง ก็รังแต่จะทำให้เหตุการณ์เลวร้าย
เพราะการแทรกแซงไม่สามารถช่วยแก้ปัญหาได้
แต่สิ่งที่เห็นเป็นประจักษ์คือ เป็นพฤติการณ์สกัดจีน อีกทั้งปลุกปั่นให้แตกแยกมากขึ้น
การคว่ำบาตรฝ่ายเดียวดูเหมือนเป็นความเคยชินของสหรัฐ
เวลานานเข้า คนก็ลืมกันหมด ความจริงกฎบัตรสหประชาชาติไม่มีข้อใดหรือมาตราใดอนุญาตให้กระทำการคว่ำบาตรฝ่ายเดียวได้โดยพลการ เว้นแต่สมัชชาใหญ่ได้มีฉันทานุมัติให้ประเทศหรือภูมิภาคใดกระทำได้เท่านั้น
“Alfred de Zayas” อดีตเจ้าหน้าที่ระดับสูงสหประชาชาติและนักกฎหมายระหว่างประเทศได้ชี้แจงเกี่ยวกับกรณีนี้ว่า การคว่ำบาตรฝ่ายเดียวไม่สอดคล้องกับหลักการแห่งกฎหมายระหว่างประเทศ อีกทั้งเป็นการแทรกแซงกิจการภายในและละเมิดอธิปไตยของประเทศนั้นๆ
ย้อนมองอดีต หลังสงครามเย็นยุติ สังคมตะวันตกเห็นว่าประเทศใหญ่มีหน้าที่ต้องปกป้องประเทศเล็กหรืออ่อนแอกว่า
การคว่ำบาตรฝ่ายเดียวนั้น พฤติกรรมไม่ต่างไปจากผู้ใหญ่รังแกเด็ก
หรืออาจกลายเป็นข้ออ้างในการทำสงคราม
ดังนั้น เมื่อต้นศตวรรษ สหประชาชาติจึงได้ยอมรับกฎหมายที่เรียกว่า “Responsibility of States for Internationally Wrongful Acts” อันหมายความรวมถึงหน้าที่ของแต่ละประเทศที่จะต้องช่วยกันดูแลปกป้องพฤติกรรมทำลายและคุกคามสันติภาพโลก การทำให้ชาติพันธุ์สูญสิ้น ตลอดจนพฤติการณ์การแบ่งแยกชาติพันธุ์ เป็นต้น
ล้วนถือเป็นความผิดระหว่างประเทศ
วัตถุประสงค์ของกฎหมายฉบับนี้ นอกจากเป็นเครื่องเตือนใจให้ทุกประเทศมีหน้าที่ต้องช่วยกันดูแลซึ่งกันและกัน และยังมุ่งเน้นต่อประเทศใหญ่ที่ใช้อำนาจทำการคว่ำบาตรประเทศอื่นนั้น เป็นการอันมิชอบด้วยกฎหมาย ได้ผลหรือไม่ได้ผลย่อมเป็นอีกประเด็นหนึ่ง
แต่อย่างน้อยที่สุดก็เป็นการกำหนดขอบเขตแห่งคุณธรรมของมนุษยชาติ
ขอตัดกลับมาที่ฮ่องกง ความจริงตะวันตกมีผลประโยชน์ทางการค้าที่ฮ่องกงมากทีเดียว แต่วันนี้สหรัฐทำการคว่ำบาตรฝ่ายเดียว อาศัยกลไกทางการเมืองกดดัน จีนก็ได้ตอบโต้อย่างสาสม
วันนี้กลายเป็นความขัดแย้งทางการเมืองของ 2 ประเทศใหญ่ สลับฉากกันเล่น
วันที่ 10 สิงหาคม ตำรวจฮ่องกงได้จับกุมผู้กระทำความผิดหลายคน โดยกล่าวหาว่า กระทำละเมิดต่อกฎหมายความมั่นคงของฮ่องกง มีเสียงนกเสียงกาจากฝ่ายโปรประชาธิปไตยและคนจีนในแผ่นดินใหญ่วิพากษ์ว่า กรณีน่าจะเกี่ยวข้องกับการคว่ำบาตรของสหรัฐ แต่ในเวลาเดียวกันก็มีนักวิชาการเห็นว่า การจับกุมของเจ้าหน้าที่ตำรวจจะต้องใช้เวลาวางแผนเป็นเวลาอันยาวนาน ส่วนการคว่ำบาตรได้ประกาศไปเพียงไม่กี่วัน จึงไม่น่าจะ
มีส่วนเกี่ยวข้องกันแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม การประลองฝีมือของสหรัฐ-จีนที่ฮ่องกง คงต้องนับวันดุเดือดรุนแรงมากขึ้น
การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐได้กระชับเข้ามาทุกขณะ เหลือเวลาอีกไม่มากก็จะถึงวันเลือกตั้งคือวันที่ 3 พฤศจิกายน 2020 คงไม่มีใครสามารถทราบได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับจีน ซึ่งทรัมป์ถือว่าการเล่นเรื่อง “จีน” คือการหาเสียงที่ “สุดยอด”
ก็เพราะอเมริกันชนส่วนใหญ่ถือว่า เรื่อง “จีน” คือละครฉากเด็ด
แต่เมื่อทำอะไรโดยตรงต่อจีนไม่ได้ ฮ่องกงย่อมกลายเป็นเป้า สอดคล้องสำนวน “ตีวัวกระทบคราด” ประเทศจีนก็ย่อมต้องตอบโต้แน่นอน เพราะ “หยิกเล็บย่อมเจ็บเนื้อ”
เหตุการณ์จะพัฒนาไปในทิศทางใดย่อมเป็นเรื่องที่คาดเดาได้ยาก แต่ที่แน่ๆ ก็คือ
“เขตปกครองพิเศษฮ่องกง”
บัดนี้ได้กลายเป็นสมรภูมิสงครามการทูตไปแล้ว
ศ.ชยานันต์ ศุกลวณิช