อนุทิน ปาฐกถางาน เฮลท์แคร์2020 เดินหน้าขับเคลื่อนสธ.ไทย ประชาชนปลอดภัย เศรษฐกิจไทยเข้มแข็ง

อนุทิน ปาฐกถางาน เฮลท์แคร์2020 เดินหน้าขับเคลื่อนการสาธารณสุขไทย ประชาชนปลอดภัย เศรษฐกิจไทยเข้มแข็ง

เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 3 กันยายน ที่ สามย่านมิตรทาวน์ฮอลล์ ชั้น 5 สามย่านมิตรทาวน์ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) เป็นประธานในพิธีเปิดงาน “Healthcare2020 : สุขภาพดี วิถีใหม่ ใจชนะ” พร้อมกล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “เดินหน้าขับเคลื่อนการสาธารณสุขไทย ประชาชนปลอดภัย เศรษฐกิจไทยเข้มแข็ง” งานเฮลท์แคร์ 2020 งานแฟร์เพื่อสุขภาพ อันดับ 1 ของประเทศ ก้าวสู่ปีที่ 12 จัดโดยบริษัทในเครือ มติชน และพันธมิตรจากองค์กรและหน่วยงานทั้งภาครัฐ เอกชน เพื่อร่วมเสริมสร้างสุขภาพที่ดีแก่คนไทย

อนุทิน ชาญวีรกูล

นายอนุทิน กล่าวว่า ตนมีความยินดีและเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มาเปิดงานเฮลท์แคร์ 2020 ภายใต้แนวคิด สุขภาพดี วิถีใหม่ ใจชนะ และขอเพิ่มเติมว่า “แล้วไทยจะชนะ” เพื่อเดินหน้าขับเคลื่อนการสาธารณสุขไทย ให้ประชาชน ทุกคนที่อาศัยในแผ่นดินไทยปลอดภัย เศรษฐกิจไทยเข้มแข็ง สธ.ซึ่งรับผิดชอบการสาธารณสุขของประเทศไทยในช่วงระบาดโควิด-19 จะเดินหน้าขับเคลื่อนอย่างไร บนความหวังของประชาชนคนไทย ที่ต้องการความปลอดภัยในการดำรงชีวิตแบบปกติวิถีใหม่หรือ New Normal วันนี้คนไทยคงคุ้นชินกับการดำรงชีวิตวิถีใหม่ โดยที่รู้ตัวหรือไม่รู้ตัว แต่ตราบใดที่ยังไม่มีวัคซีนป้องกันเชื้อโควิด-19 ได้ การดำรงชีวิตวิถีใหม่จะเป็นสิ่งปลอดภัยที่สุดสำหรับคนไทยและประเทศไทย โดยไม่ได้สูญเสียสิ่งใดกับการดำรงชีวิตวิถีใหม่

Advertisement

“วันนี้เครือมติชนและผู้สนับสนุนทั้งหลาย และภาคประชาชน ได้จัดงานที่มีจัดนิทรรศการ จัดจำหน่ายหนังสือดีๆ จากเครือมติชน วันนี้เป็นครั้งแรกที่ผมได้มาสามย่านมิตรทาวน์ ได้เห็นรูปแบบการจัดงานเช่นนี้ มีผู้ที่เข้าร่วมงานมากมาย เชื่อว่าจะต้องได้รับความรู้และประสบการณ์ที่ดี เป็นงานที่มีความหมาย มีคุณค่ามากและมีอีกงานคือ งานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติ ครั้งท่ี 17 จัดที่เมืองทองธานี ทั้งนี้ต้องขอขอบคุณเครือมติชน เครือพันธมิตรด้านสุขภาพ และผู้ร่วมสนับสนุนทุกท่าน ที่ได้ยืนหยัดจัดงานเฮลท์แคร์มาเป็นครั้งที่ 12 เพื่อสุขภาพที่ดีของประชาชนคนไทย” นายอนุทิน กล่าว

 

 

Advertisement

นายอนุทิน กล่าวต่อว่า ในหอประชุมแห่งนี้ ผู้เข้าร่วมงานสวมหน้ากากป้องกันโรคทุกคน โดยไม่มีกฎหมายใดบังคับ แต่เป็นความเข้าใจของประชาชน สธ.ขอขอบคุณคนไทยที่สวมหน้ากากอนามัยซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ประเทศไทยของเรารอดพ้นจากการติดเชื้อในประเทศมาเป็นวันที่ 101 แล้ว นอกจากไม่ติดเชื้อโควิด-19 แล้ว ยังป้องกันเชื้อโรคอื่นๆ ในระบบทางเดินหายใจได้ ซึ่งเป็นผลพลอยได้จากการสวมหน้ากากอนามัย และเมื่อมีการป้องกันโรคไข้หวัดได้ ทางสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.) ก็สามารถนำงบประมาณไปดูแลสุขภาพประชาชนในด้านอื่นๆ ได้อีกมากมาย การล้างมือแอลกอฮอล์ ก็ลดการติดเชื้อในระบบทางเดินอาหารได้ โรคภัยต่างๆ ถูกจำกัดพื้นที่ ทำให้ประเทศไทยของเรารับมือกับโควิด-19 ได้เป็นดี เป็นที่ประจักษ์ให้ทั่วโลกเห็นว่า ประเทศไทยมีระบบสาธารณสุขที่ดีที่สุด เราเป็นประเทศเป้าหมายที่ได้รับความเชื่อมั่นและได้การยอมรับจากนานาประเทศว่า ประเทศไทยมีระบบพื้นฐานการสาธารณสุขที่แข็งแกร่ง และได้รับความร่วมมือจากประชาชนในประเทศเป็นอย่างดี

นายอนุทิน กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ประเทศไทยยังมี อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน(อสม.) กว่า 1.5 ล้านคน ที่คอยเคาะประตูบ้าน เข้าไปยังพื้นที่ที่ความเจริญเข้าไม่ถึง ซึ่งวันนี้สิ่งที่จะเป็นคุณูปการอย่างมากที่สุด และคนไทยทุกคนต้องร่วมส่งกำลังใจให้ อสม. คือ การสกัดผู้ลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย และรายงานมายังเครือข่ายกรมควบคุมโรคทั่วประเทศ เพื่อนำผู้ต้องสงสัยเข้ามาเพื่อทำการคัดกรองไปจนถึงการกักกันโรค ระบบดำเนินไปเป็นอย่างดี และเรื่องนี้ยังไม่เคยมีหลุดแม้แต่เคสเดียว

“การตั้งเป้าหมายว่าประเทศไทยจะต้องมีการติดเชื้อเป็นศูนย์ ในกันยายน 2563 นี้อาจเป็นเป้าหมายไม่ถูกต้องนัก เพราะการติดเชื้อเป็นศูนย์คือการที่เราทำอะไรไม่ได้เลย ต้องล็อกดาวน์ ไม่ยอมรับนักท่องเที่ยวเข้าประเทศ ถามว่า เราไหวหรือไม่ เราจะอยู่แบบนี้ไม่มีโควิด-19 แต่ไส้แห้ง มันจะต้องเลือก ต้องมั่นใจในระบบสาธารณสุขของไทยว่ารองรับการป้องกันโรคได้มั่นใจ นอกจากนี้ยังมีเรื่องการให้บริการที่มีความพร้อมเต็มที่ ทุกจังหวัดของไทยมีคลินิกโควิด-19 มีห้องแยกความดันลบ มีบุคลากรที่ได้รับการอบรมอย่างดีในการดูแลหากพบผู้ป่วยโควิด-19 ประเทศไทยหากนับต่อหัว เรามีเครื่องช่วยหายใจมากที่สุดในโลก มากกว่าประเทศที่เจริญแล้วในแถบตะวันตกหลายเท่าตัว เวชภัณฑ์ที่เราเคยไม่พอ เช่น หน้ากากอนามัย ถุงมือยาง ชุดป้องกันส่วนบุคคล(PPE) อุปกรณ์รักษาความปลอดภัยสำหรับแพทย์ในการประชิดตัวผู้ป่วย แต่ภายใน 3 เดือนประเทศไทยสามารถทำเองได้ ผลิตเองได้ทั้งหมด แม้แต่หน้ากากผ้าประชาชนก็ทำเองได้” นายอนุทิน กล่าว

 

นายอนุทิน กล่าวต่อว่า เวชภัณฑ์ยา ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ประเทศไทยมีน้อยกว่า 10,000 เม็ด ดังนั้นกว่าแพทย์จะตัดสินใจให้ยาในการรักษาผู้ป่วยโควิด-19 จะต้องรอให้มีอาการหนักก่อน เพราะจะต้องเก็บยาเอาไว้ แต่ด้วยความมีมนุษยธรรมที่ไทยได้ช่วยรักษาชาวต่างประเทศ เช่น นักท่องเที่ยวชาวจีน ที่ได้รับการรักษาจนหายและเดินทางกลับประเทศไป ประเทศเขาก็ได้เกิดความซาบซึ้ง ตอบแทนประเทศไทยด้วยยา วันนี้ประเทศไทยพร้อม มียามากพอที่จะดูแลรักษาหากมีผู้ป่วยโควิด-19 เกิดขึ้น โดยขณะนี้มีการสำรองยากว่า 700,000 เม็ด และสามารถนำยาใช้รักษาผู้ป่วยได้ตั้งแต่ถูกวินิจฉัยว่าป่วยโควิด-19 ช่วยลดความรุนแรงของโรคและ ลดอัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วย

นายอนุทิน กล่าวว่า ประเทศไทยเป็นเป้าหมายของนักท่องเที่ยวและนักลงทุน แต่เราเองต้องไม่เป็นเหยื่อของความสำเร็จของเรา ที่เขาเรียกว่า Weaken of our old Success เพราะตอนนี้ไม่มีผู้ป่วย แพทย์ไม่ได้ฝึกหัด ยาขนานอื่นๆ ไม่มีกลุ่มทดลองใช้ยา ที่สำคัญ คือ วัคซีนจากคณะวิจัยจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ไม่มีกลุ่มผู้ป่วยให้ทดลองวัคซีน จึงต้องประสานไปต่างประเทศเพื่อขอทำการทดลองวัคซีน และรัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณ 100 ล้านเหรียญ ในการร่วมพัฒนาวัคซีน และทำข้อตกลง(MOU) กับคณะแพทยศาสตร์ สถาบันวิจัย โรงงานผลิตวัคซีนทั่วโลก เพื่อให้ประเทศไทยได้เข้าถึงวัคซีน เมื่อมีวัคซีนแล้วประเทศไทยจะเป็นลำดับแรกๆ ในการเข้าถึง

“เมื่อวันที่มีวัคซีนเรากับเขาต้องเท่ากัน และต้องมีจำนวนมากเพียงพอฉีดให้กับคนไทย หากจำเป็นต้องฉีดทุกคนก็ฉีดทุกคน สมัยก่อนเราบอกเราเก่ง เรามีหมอ มีห้องปฏิบัติการ มีสถาบันวิชาที่มีชื่อเสียง มีองค์ความรู้ ประสบการณ์ แต่คู่สัญญาเราในต่างประเทศก็พอๆ กับเรา ดังนั้นเราต้องมีทุนด้วย ไม่ใช่มามือเปล่า เพื่อเป็นทุนในการร่วมทดลองและร่วมผลิต มี 2 ทางเลือกคือ ได้พร้อมกัน หรือ เราต้องได้ก่อน ดังนั้น เราไปไหนให้หิ้วกระเป๋าไปด้วย อย่าไปมือเปล่า ในวันนี้ระบบสาธารณสุขไทย คงไม่มีใครสงสัยอะไร เพราะมีผลงานประจักษ์ชัดอยู่แล้ว บุคลากรสาธารณสุข ทำงานสู้โควิด-19 ไม่ได้ต้องการแค่รักษาคนไทย แต่เราต้องชนะให้ได้ ทั้งหมอ ทั้งพยาบาล แม้กระทั่งคนไทยทุกคนเองก็อยากจะบดขยี้มันให้แหลกสลายไปไม่ใช่แค่ชกให้ล้ม เพราะอนุภาคมันรุนแรง เพราะปีนี้เป็นปีที่ดี เป็นปีที่ทุกอย่างต้องเติบโต แต่กลับเป็นปีที่เราต้องเฝ้าระวัง ใช้ชีวิตแบบใหม่ ผมเชื่อว่าเราทุกคนมุ่งมั่นกำจัดมันให้สิ้นซาก เพราะฉะนั้นเชื้อโควิด-19 วันหนึ่งเราต้องกำจัดให้สิ้นซากด้วยฝีมือของคนไทยทุกคน” นายอนุทิน กล่าว

ในตอนท้ายของการกล่าวปาฐกถาพิเศษ นายอนุทิน กล่าวว่า หากมีความเข้าใจแล้วก็จะผ่านพ้นช่วงวิกฤตโควิด-19 ได้ด้วยดี แต่ต้องเปิดใจกว้าง ทำมาหากินสร้างรายได้ รัฐบาลพร้อมจะสนับสนุน เช่น หากต้องการผ่อนปรนมาตรการให้มากกว่านี้ รัฐบาลกล้าทำได้เพราะต้องถามทางระบบสาธารณสุขมาแล้วว่ารับมือไหวหรือไม่ โดยคำตอบจากทางสาธารณสุขตั้งแต่ปลัดกระทรวงฯ จนถึงแพทย์ทุกคน ตนไม่เคยได้ยินว่า ใครตอบว่าไม่ไหว มีแต่บอกว่าให้ลดจำนวนลงได้หรือไม่ เพื่อไม่ให้สิ้นเปลืองเกินไป เช่น การมีคลินิกโควิด-19 ทุกจังหวัด ให้ลดลงเพียงจังหวัดใหญ่ได้หรือไม่ ดั้งนั้นโควิด-19 ร้ายแรงจริง แต่สามารถรักษาได้ ป้องกันได้ด้วยการเว้นระยะห่างระหว่างบุคคล สวมหน้ากากอนามัย ล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ ไม่เข้าไปในพื้นที่แออัด และไม่ใช้ภาชนะร่วมกัน

“เราสามารถดำเนินชีวิตได้ตามปกติ ดำเนินธุรกิจแบบปกติได้ เราอาจต้องทนในช่วงนี้นิดหนึ่ง ทุกอย่างต้องมีต้นทุน แต่ต้นทุนที่เราเสียไปในสถานการณ์โควิด-19 ถึงแม้ว่าบางคนอาจจะเสียโอกาส เสียการวางแผน เสียธุรกิจ แต่ไม่เสียเปล่าแน่นอน สิ่งที่ทุกคนได้อดทนมาถึงทุกวันนี้ จะทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่ทุกคนจะเข้ามา เพราะนักท่องเที่ยวรู้แล้วว่าหากเข้ามาแล้วเจ็บป่วย จะได้รับการดูแลเป็นอย่างดี นักลงทุนก็จะทราบดีกว่าพนักงานที่เข้ามาในประเทศไทย จะปลอดภัย วันนี้คงไม่อยากไปประเทศอื่นแล้ว หากจะป่วยก็ขอป่วยในประเทศไทย เพราะการดูแลรักษาได้มาตรฐานระดับโลก อีกไม่นานเราจะฟื้นตัว แต่เราทำให้เร็วกว่านั้น เราไม่ต้องให้หมดโควิด-19 หมดแล้วค่อยเริ่ม เราเริ่มตั้งแต่ตอนนี้ด้วยความเข้าใจและความกล้าที่จะต่อสู้ เพื่อให้เราได้ตื่นก่อนคนอื่น ก้าวหน้าก่อนคนอื่น นี่คือสิ่งที่ประเทศไทยควรจะเป็น และผมเชื่อมั่นว่า คนไทยและประเทศไทยพร้อมร่วมมือกัน และเดินหน้าไปด้วยกัน” นายอนุทิน กล่าว

ทั้งนี้ งาน Healthcare 2020 งานแฟร์สุขภาพ อันดับ 1 ของประเทศ ก้าวสู่ปีที่ 12 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 3-6 กันยายน เวลา 10.00-20.00 น. สุดพิเศษฟรี! สำหรับผู้เข้าร่วมงาน ฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ จากโรงพยาบาลศิริราช จากการสนับสนุนของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.) และวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ 4 สายพันธุ์ จากบริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM รวม 1,300 เข็ม

กิจกรรมภายในโซนเมืองสุขภาพ บริการตรวจสุขภาพฟรีจากโรงพยาบาลชั้นนำของประเทศกว่า 10 แห่ง เช่น ตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก(HPV DNA Test) ตรวจหาเชื้อไวรัสตับอักเสบซี จากโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านม ด้วยเครื่องแมมโมแกรม จากศูนย์ถันยรักษ์ในพระราชูปถัมภ์ โรงพยาบาลศิริราช ตรวจคลื่นหัวใจด้วยเครื่อง EKG จากโรงพยาบาลเกษมราษฎร์ ประชาชื่น และโรงพยาบาลเวชธานี และอีกมากมาย ไปจนถึงการนำเสนอความก้าวหน้าทางการแพทย์ด้วย “เมืองมหิดล”ที่รวบรวมนวัตกรรมสุขภาพและทางการแพทย์มาจัดแสดงและประชาสัมพันธ์ภายในงาน

โซนการจัดบูธจำหน่ายสินค้ากว่า 50 ร้านค้า ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพพร้อมโปรโมชั่นพิเศษภายในงานนี้เท่านั้น! อาทิ โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร พร้อมแจกต้นสมุนไพร่ฟรีวันละ 50 ต้น ได้แก่ ต้นชาเมี่ยง เก๊กฮวย สายน้ำผึ้ง และสันพร้าหอม นอกจากนี้กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย คัดสรรผลิตภัณฑ์ OTOP เพื่อสุขภาพจากทั่วประเทศมาจำหน่ายในราคาพิเศษเฉพาะในงาน

ผู้สนใจเข้าร่วมงานเฮลท์แคร์2020 สามารถเดินทางอย่างสะดวกโดยทางด่วนและรถไฟฟ้าเอ็มอาร์ที(MRT) สถานีสามย่าน ทางออกที่ 2 สำคัญที่สุดในการเข้าร่วมงานต้องนำบัตรประจำตัวประชาชนมาเพื่อรับสิทธิ์ในการตรวจสุขภาพภายในงาน

ทั้งนี้การจัดงานเป็นไปตามมาตรการป้องกันโรคที่ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019(โควิด-19)(ศบค.) กำหนด โดยคัดกรองอุณหภูมิร่างกายของผู้เข้าร่วมงาน ตั้งจุดบริการเจลแอลกอฮอล์ล้างมือ และผู้เข้าร่วมในงานจะต้องสวมหน้ากากอนามัย/ผ้าเพื่อป้องกันตนเองตลอดเวลาขณะเข้าร่วมงาน

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image