‘รู้ไว้ใช่ว่า’ : โดย นพ.วิชัย เทียนถาวร

ผมได้อ่านบทความหนึ่งรู้สึกว่าน่าจะเป็นประโยชน์แก่การเผยแพร่ มันสะท้อนอะไรบางอย่างให้ “คนไทยทุกคน” ควรได้รู้หรืออาจจะรู้ดีแล้วก็ได้ จึงใช้ชื่อหัวข้อว่า “รู้ไว้ใช่ว่า” หากอ่านแล้วก็เก็บประเด็นดีๆ ถูกต้องก็เลือกนำไปช่วยๆ กันดูแลบ้านเมืองของเรา ความว่า…

ผมว่าคนไทยน่าอ่าน แต่ “ดันไม่อ่าน” ใครเขียนไม่รู้ แต่อ่านแล้วต้องพิจารณาว่าเขาเขียนวิเคราะห์ไว้ถูกไหม อยากให้อ่านเพื่อให้คนไทยได้รู้จักตัวตน และรู้จักจุดอ่อนจุดแข็งของประเทศไทย คนที่รักและเกลียดรัฐบาลต่างๆ ที่ผ่านมา ไม่ว่ารัฐบาลที่มาจาก “ปฏิวัติ” หรือรัฐบาลที่เป็น “ประชาธิปไตย” มาจาก “การเลือกตั้ง” ก็ตาม ต้องอ่านให้มากๆ เพราะทุกคนคือคนไทยที่จะเป็นหลักสำคัญในการช่วยแก้ไขวิกฤตบ้านเมืองที่ไม่ชอบมาพากลของนักการเมืองและข้าราชการได้ทำให้ชาติเกือบหายนะ และหายนะจะเกิดแน่ ถ้าคนไทยไม่รู้ดีรู้ชั่ว เห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ จนลืมความถูกต้อง ชอบธรรม ทุจริต โกงกินอย่างเมามันกันไม่หยุดหย่อน

ทูตประเทศแถบสแกนดิเนเวีย, นอร์เวย์, สวีเดน, ฟินแลนด์, เดนมาร์ก วิเคราะห์ให้ฟังว่า จุดแข็ง-จุดอ่อน ของประเทศไทย และบทสรุปที่น่าคิด จุดแข็ง ของประเทศไทย ประเทศไทยตั้งอยู่ในพื้นที่ที่ดีที่สุดในทุกๆ ด้านคือ 1.ที่ตั้ง : จะว่าอยู่ใจกลางโลกก็ว่าได้ เพราะรอบข้างมีแต่ประเทศที่มีประชากรมาก เช่น อินเดีย 1,200 ล้านคน จีน 1,400 ล้านคน ญี่ปุ่น 100 ล้าน อินโดนีเซีย 400 ล้านคน ฟิลิปปินส์ เวียดนาม เกาหลี ล้วนแต่ 100 ล้านคน ซึ่งหมายถึงตลาดการค้า ตลาดอาหารและยาสมุนไพรที่ใหญ่มหาศาลยิ่ง 2.มีสภาพพื้นที่เป็นแหลมยื่นลงไปในทะเลระหว่างสองมหาสมุทร คือมหาสมุทรอินเดียและมหาสมุทรแปซิฟิก เป็นทั้งแหล่งอาหาร ออกเรือหาปลาได้ถึงสองมหาสมุทร ทั้งจะติดต่อค้าขายกับทุกประเทศก็สะดวกยิ่งนัก 3.บนผืนแผ่นดิน ก็อุดมสมบูรณ์ด้วยพืชพันธุ์ธัญญาหาร มีทรัพยากรธรรมชาติที่หลากหลาย มีป่าไม้ แหล่งน้ำ กุ้ง หอย ปู ปลา ทั้งในน้ำจืดและในทะเล ทุกพื้นที่ในป่า ในบ้าน ในสวน เต็มไปด้วยพืชอาหารและพืชสมุนไพรมากมายเหลือเกิน เป็นทั้งครัวและคลังยาสมุนไพรของโลกไปพร้อมกันได้เลยทีเดียว 4.ใต้ผืนดิน ก็มีแร่ธาตุนานาชนิด มีแหล่งน้ำมันดิบและแก๊สธรรมชาติมากมายมหาศาลยิ่งนัก มากกว่าประเทศกลุ่มโอเปคหลายประเทศเสียด้วยซ้ำไป 5.เรามีภูมิปัญญา ในการใช้สมุนไพรที่สืบทอดจากบรรพชนมากมายเหลือเกินที่สามารถนำมาวิจัยพัฒนาต่อยอดให้มีประสิทธิภาพเป็นยาสมุนไพรที่มีมาตรฐานในการรักษาโรคได้ไม่แพ้ยาเคมีจากต่างประเทศ สามารถส่งเป็นสินค้าออกไปขายทั่วโลกได้ สร้างความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ เสริมความมั่นคงของชาติได้อย่างดี 6.เรามีธรรมชาติที่สวยงาม มีหาดทรายยาวสองฝั่งทะเล มีน้ำตก มีถ้ำ เพิงผา ป่าไม้ ภูเขา อ่าว แหลมที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ดีมากมาย 7.ตั้งอยู่ในเขตร้อนที่แดดจัด สามารถผลิตพลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ใช้อย่างไม่ต้องกลัวหมด มีลมบก ลมทะเลที่สามารถแปลงเป็นพลังงานไฟฟ้าได้ไม่รู้สิ้น 8.ตั้งอยู่ในเขตที่ไม่เสี่ยง ต่อภัยธรรมชาติที่รุนแรงห่างจากศูนย์กลางแผ่นดินไหว ไม่มีภูเขาไฟที่คุกรุ่น ไม่มีลมพายุที่รุนแรง เช่น ทอร์นาโด หรือไต้ฝุ่น 9.เท่านั้นยังไม่พอ เรายังมีพุทธศาสนาซึ่งเป็นศาสนาที่มีคำสอนที่สมบูรณ์ที่เป็นวิทยาศาสตร์มากที่สุดอีกด้วย 10.เรามีคนไทยที่จิตใจดี ยิ้มแย้ม มีน้ำใจมีความฉลาด เรียนรู้เร็ว สามารถพัฒนาได้ง่าย ด้วยจุดแข็งทั้ง 10 ข้อ ดังที่กล่าวมา ดินแดนไทยถือเป็นดินแดนสวรรค์บนดินก็ว่าได้ ใครก็ตามที่ได้เกิดในประเทศนี้ถือได้ว่าโชคดีไม่ต่างจากได้เกิดบนสวรรค์ คนไทยส่วนใหญ่ ควรจะมีความสุขที่สุดในโลก มีสุขภาพดี ไม่เจ็บไข้ได้ป่วย มีฐานะมั่งคั่ง ร่ำรวยกันถ้วนหน้า แต่ในความเป็นจริง กลับตรงกันข้าม

จุดอ่อนของประเทศไทยมีคนไทยเพียงไม่กี่ตระกูล ที่เป็น 1.ขุนทหาร 2.ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ 3.นักการเมืองใหญ่ 4.นายทุนระดับชาติเท่านั้น ที่ร่ำรวย ที่เสพสุขอยู่บนกองทุกข์ของประชาชนอย่างล้นเหลือ ราวกับเทวดาเดินดินก็ไม่ปาน แต่คนส่วนใหญ่ กลับตกอยู่ในขุมนรกของความยากจนที่นับวันพวกเขายิ่งจนยิ่งเป็นหนี้พอกพูนรุนแรง ทรัพยากรธรรมชาติ ถูกทำลาย ป่าไม้กลายเป็นป่าเสื่อมโทรม พื้นที่ทำเกษตรในแม่น้ำลำธารเต็มไปด้วยสารพิษทางการเกษตรตกค้าง สัตว์น้ำลดลงแทบไม่เหลือเนื่องจากสารพิษปนเปื้อนในน้ำทำให้การขยายพันธุ์สัตว์น้ำลดลงมาก ส่งผลให้แหล่งอาหารตามธรรมชาติของคนไทยลดลงอย่างน่าใจหาย คนต้องซื้ออาหารจากตลาดในราคาแพงแทบทั้งหมด มีคนเจ็บไข้ได้ป่วย เป็น “โรคมะเร็ง” มากเป็นอันดับ 1 ของโลก เนื่องจากรับสารเคมีที่ปนเปื้อนในพืชผัก ในอาหารและน้ำเข้าสู่ร่างกายทุกวันเป็นเวลานาน นอกจากนี้ยังมีโรคไต โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคความดันโลหิต โรคอ้วน ฯลฯ เนื่องจากขาดสภาพแวดล้อมและการดำเนินชีวิตที่เหมาะสม จนคนป่วยล้นทุกโรงพยาบาล ทำให้คนไทยจำนวนมากทุกขเวทนาจากการเจ็บไข้ได้ป่วย ทั้งไม่ปลอดภัย ในชีวิตและทรัพย์สินคนชั่วไม่เกรงกลัวกฎหมาย มียาเสพติด มีอาชญากรรมเต็มบ้านเต็มเมือง คนธรรมดาอยู่ที่ไหนก็ไม่ปลอดภัย การทุจริตคอร์รัปชั่น ยิ่งเพิ่มทวีทุกระดับ ยักษ์ใหญ่โกงใหญ่ ยักษ์เล็กโกงเล็กๆ โกงตามที่มีแรงจะโกงบ้านเมืองเข้าสู่ยุค “มือใครยาว สาวได้ สาวเอา” อย่างแท้จริงคือ ชนชั้นนำของไทยตั้งแต่ปี 2500 ได้ใช้หลัก “รัฐศาสตร์มาร” ในการปกครองบ้านเมือง คือ การปกครองประเทศแบบฉ้อฉล หลอกลวง “คดในข้อ งอในกระดูก มุ่งทำให้ประชาชนอ่อนแอ” ทำให้ประชาชนตกอยู่ในวงจรอุบาทว์ “โง่-เลว-จน-เจ็บ” เพื่อให้ปกครองอย่างเอารัด เอาเปรียบ คดโกง ได้สะดวกง่ายดาย

Advertisement

ข้อคิดที่น่าวิเคราะห์ของสังคมไทย ปัญหาความเหลื่อมล้ำในทุกๆ ด้าน, ปัญหาความยากจน, หนี้สิน, แม้แต่ปัญหาโรคภัยไข้เจ็บ แม้จะดูว่าเกิดตามธรรมชาติ แต่แท้จริงปัญหาพวกนี้ล้วนแล้วแต่เติบโตและขยายใหญ่ ลุกลาม ทวีความรุนแรงขึ้น เนื่องจากโครงสร้างการปกครองที่ชั่วร้ายที่รวบอำนาจไว้ที่คนไม่กี่คน ไม่มีระบบถ่วงดุลอำนาจที่ดีพอ ทำให้ผู้ปกครองทำหรือไม่ทำอะไรก็ได้ ผู้ปกครองกลายเป็นตัวขัดขวาง การแก้ไขปัญหาทุกปัญหา เร่งให้มีปัญหาและปัญหาขยายใหญ่ขึ้นมากขึ้นทั้งสิ้น

วิธีการทำให้ประชาชน “โง่” โดยจัดการที่หลักสูตรการศึกษา ทำให้เด็กไม่รักการอ่าน ไม่ชอบการคิดหาเหตุผล ไม่สอนปรัชญาประชาธิปไตย ไม่สอนประวัติศาสตร์วีรชนที่เป็นสามัญชนไม่สอนให้รู้จักการเอาตัวรอดในระบบทุนนิยม ไม่สอนให้รู้จักการรวมตัวกันต่อสู้ปัญหาเศรษฐกิจในรูปกลุ่ม หรือสหกรณ์ ฯลฯ วิธีการทำให้ประชาชน “เลว” เรื่องนี้เน้นที่ปัญญาชนคนชั้นกลางโดยจัดการที่การศึกษา จะไม่ฝึกการมีวินัย ไม่ปลูกฝังความรู้ ทางศาสนาอย่างจริงจังเพื่อให้คนไม่คิดพัฒนาจิตใจตนเองเพื่อความเป็นมนุษย์ ไม่ปลูกฝังจิตสำนึกรักชาติ ให้ปัญญาชน-กีดกันการแสดงออกทางการเมืองของนักศึกษาปัญญาชน เพื่อทำให้ปัญญาชนเห็นแก่ตัวให้มากที่สุด เพื่อให้ปัญญาชนคนรุ่นใหม่ คิดแต่ประโยชน์ส่วนตน ตัวใคร ตัวมัน ไม่เห็นใจคนยากคนจน ไร้จิตสำนึกความเป็นมนุษย์ที่จะต้องเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือเกื้อกูลผู้ที่ด้อยกว่า ทำได้ดังนี้ ทางก็สะดวก ไม่มีใครขัดขวางการทุจริต การทำลายชาติของชนชั้นบน แย่ถึงขนาดว่า ถ้าใครพูดถึงการเมือง พูดถึงปัญหาชาติบ้านเมือง ชนชั้นกลางส่วนหนึ่งก็พากันต่อต้าน ไม่ให้พูด ซึ่งเท่ากับ “ปกป้องการคอร์รัปชั่น ปกป้องคนทำลายชาติ” กันเลยทีเดียว แล้วจะไม่ให้ประเทศนี้แย่ที่สุดในโลกได้อย่างไร? วิธีการทำให้ประชาชน “จน” แค่ออกกฎหมายกีดกัน สร้างความเหลื่อมล้ำในการประกอบอาชีพ เช่น กฎหมายการเงินการธนาคาร การผลิตสุรา และอื่นๆ ที่ไม่เท่าเทียม ออกนโยบายส่งเสริมด้านอุตสาหกรรม เลิกการสนับสนุนด้านเกษตร งดเงินสนับสนุนวิทยาลัยเกษตรในต่างจังหวัด กลับไปสนับสนุนวิทยาลัยการกีฬาแทนซึ่งไม่ได้พัฒนาอาชีพอะไร ไม่สนับสนุนการวิจัยข้าว ยาง อ้อย พืชสวน ฯลฯ ปล่อยให้มีการบุกรุก ทำลายป่าไม้ แหล่งน้ำ ซึ่งเป็นแหล่งอาหารและสมุนไพร สนับสนุนปุ๋ย เคมีฆ่าหญ้า ยาฆ่าแมลง เพื่อทำลายสัตว์น้ำในธรรมชาติ ทำลายดิน ทำให้น้ำปนเปื้อนสารพิษ แค่นี้เกษตรกรก็ล้าหลัง แข่งขันไม่ได้ ตกเป็นเบี้ยล่างนายทุนยา ปุ๋ย พันธุ์พืช-สัตว์ เครื่องจักรกลการเกษตร ฯลฯ แค่นี้เกษตรกรก็ต้องทิ้ง ลูก เมีย ไร่ นา ไปหางานทำเป็นกรรมกรในกรุงเทพฯ การอ้างส่งเสริมอุตสาหกรรม และการท่องเที่ยว จงใจละเลยการเกษตรซึ่งเป็นอาชีพของคนส่วนใหญ่นั้นชั่วร้ายเกินที่จะกล่าว อย่าลืมว่าคนสามัญชน 70 กว่าล้านคนของไทย ไม่มีใครมีศักยภาพพอที่จะครอบครองเทคโนโลยีสูง หรือเป็นเจ้าของสถานที่ท่องเที่ยว เป็นเจ้าของโรงงานอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีสูงได้อย่างดีก็เป็นได้แต่ลูกจ้าง เป็นทาสนายทุน ประชาชนจะมีรายได้สูงตามที่โม้ว่า เราจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง จะเป็นไทยแลนด์ 4.0 ได้อย่างไร? วิธีการทำให้ประชาชน “เจ็บ” แค่เว้นภาษีนำเข้ายาฆ่าแมลง ยาฆ่าหญ้า เพียงอ้างว่าเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรให้ซื้อของเหล่านี้ได้ถูก ทั้งที่จริงถ้านำธรรมชาติมาคิดเป็นต้นทุนแล้ว มันจะแพงแสนแพงก็ตาม นอกจากจะทำให้นายทุนยาพิษรวยจนสะดือปลิ้นแล้ว ยาเหล่านี้ยังไปปนเปื้อนในดิน น้ำ อากาศ นอกจากทำให้ปลา สัตว์น้ำในธรรมชาติแทบสูญพันธุ์แล้ว ยังทำให้คนไทยทุกคนได้รับยาเหล่านี้ผ่านอาหาร สัมผัสโดยตรง ทำให้เจ็บไข้ได้ป่วยด้วยโรคมะเร็ง โรคต่างๆ สารพัด ทำให้ธุรกิจค้าความตายเหล่านี้เติบโตสูบเงินคนไทยไปไม่ต่ำกว่าปีละเก้าแสนล้านบาททีเดียว หลายคนอาจไม่ทราบว่า สารพิษ เคมีเกษตรนั้นปลอดภาษีมูลค่าเพิ่ม แต่จุลินทรีย์ชีวภาพ กำจัดแมลงที่ปลอดภัย และคนไทยทำได้เอง กลับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม (นี่คือความคดในข้อฯของกฎหมายที่ออกโดยคนชั้นสูง) เพื่อกีดกันด้านการค้า และเพื่อชะลอเทคโนโลยีอินทรีย์ที่ปลอดภัยและผลิตได้เองอย่างชะงัดนัก บทสรุปสั้นๆ ปัจจุบันประเทศนี้แย่ที่สุดเพราะ 1.ชนชั้นนำไทย ที่พยายามทำลายไทย เพื่อประโยชน์ของตนและโคตรตระกูลตนฝ่ายเดียว 2.ชนชั้นกลางและชนชั้นล่าง ที่ไร้ความรับผิดชอบต่อบ้านเมืองเห็นแก่ความสุขสงบของตน มองการต่อต้านความอยุติธรรมของการปกครอง เป็นความวุ่นวายและพากันต่อต้านการต่อสู้ของประชาชน รอวันล่มสลายนี่เป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น

มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดได้วิจัยมาอย่างยาวนาน ได้แนะนำการสร้างนิสัยแห่งความสุขที่แท้จริง 20 ประการ โดยไม่ต้องอาศัยยศถาบรรดาศักดิ์ ความเก่งและความร่ำรวยเลย 1.สำนึกบุญคุณคน 2.เลือกคบเพื่อนดี 3.เห็นอกเห็นใจคนอื่น 4.หมั่นเรียนรู้ 5.เป็นผู้แก้ปัญหาได้ 6.ทำในสิ่งที่เรารัก 7.อยู่กับปัจจุบัน 8.หัวเราะบ่อยๆ 9.ให้อภัย 10.กล่าวขอบคุณเสมอ 11.สร้างความสัมพันธ์ลึกล้ำ 12.รักษาสัญญา 13.ทำสมาธิ 14.ตั้งมั่นในสิ่งที่กำลังทำ 15.มองโลกในแง่ดี 16.รักอย่างไม่มีเงื่อนไข 17.อย่ายอมแพ้ 18.ทำดีที่สุดแล้วอย่ายึดติด 19.ดูแลตัวเอง 20.ตอบแทนสังคม

Advertisement

นั่นคือ 20 ข้อ “การสร้างความสุข” เริ่มที่ตัวเรา ที่น่าจะมีประโยชน์ต่อ “คนไทย 66 ล้านคน” และแฟนๆ มติชน ไงเล่าครับ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image