เดินหน้าชน : ว่าด้วยเรื่อง ‘ถังแตก’ : โดย สัญญา รัตนสร้อย

อุณหภูมิการเมืองปัจจุบัน ประเมินทางคณิตศาสตร์ด้วยจำนวน ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลตัวเลขกลมๆ 280 เสียง เกมในสภาของพรรคฝ่ายค้านคงไม่ระคายผิว “ประยุทธ์ 2/2”

แม้มีแรงงานกดดันของพรรคการเมืองผสานแนวร่วมกลุ่มต่างๆ ของนักเรียนนิสิตนักศึกษา เรียกร้องเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560

รัฐบาลสามารถออกตัวจากท่าทีเพิกเฉยต่อข้อเรียกร้อง กลับลำเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญประกบกับพรรคฝ่ายค้าน มีจุดร่วมคือมาตรา 256 ให้แก้ไขรัฐธรรมนูญง่ายขึ้น จัดตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญหรือ ส.ส.ร.มายกร่างกฎหมายฉบับใหม่

ขั้นตอนการปฏิบัติ รายละเอียดของเนื้อหาสาระ ต้องไปว่ากันอีกยาวไกล จะไปจนสุดซอยหรือไม่ ยังเป็นประเด็นต้องลุ้นกัน เพราะโอกาสสะดุดเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ

Advertisement

อย่างน้อยการยอมถอย ไปว่ากันในสภา ก็ช่วยลดกระแสร้อนแรงให้รัฐบาลตีกรรเชียงรักษาอาการหนาวการเมืองไว้ได้ระยะหนึ่ง

ถึงอย่างนั้นสิ่งที่ไม่สามารถเดินหมาก วางเกม ซื้อเวลาไปได้ คือปัญหาเศรษฐกิจ ปากท้องประชาชนที่นับวันรุนแรง การค้าขาย การจับจ่ายใช้สอยภาคประชาชน ปลดล็อกธุรกิจแล้วยังกลับมาไม่ถึงครึ่ง

นั่นเป็นสิ่งสัมผัสได้จริงในสภาพที่เกิดขึ้น ขณะที่สิ่งที่เรามักมองไม่ค่อยเห็นก็คือ ฐานะการคลังของประเทศกำลังตกที่นั่งสาหัส

Advertisement

มาตรการด้านการคลังถือเป็นน้ำเลี้ยงหลักในสถานการณ์ปัจจุบันที่ภาคส่งออก ภาคท่องเที่ยว อยู่ในสภาพ “เป็ดง่อย”

มาตรการด้านการคลังที่ต้องจัดงบประมาณดูแลภาวะเศรษฐกิจทั้งก่อนหน้านี้ และกำลังจัดงบดูแลความเป็นอยู่ของประชาชนด้วยการแจกเงินลดภาระค่าครองชีพในโครงการชิมช้อปใช้กำลังกลับมาอีกครั้ง พร้อมกับรัฐครึ่งหนึ่งภาคธุรกิจครึ่งหนึ่งจ้างงานบัณฑิตจบใหม่

อะไรกำลังเกิดขึ้นกับฐานะการคลังของประเทศ

มีสัญญาณจากเมื่อกลางเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา กระทรวงการคลังขออนุมัติคณะรัฐมนตรีเพิ่มวงเงินกู้ของรัฐบาลอีก 2.14 แสนล้านบาท เนื่องจากรายจ่ายสูงกว่ารายได้ในปีงบประมาณ 2563 ที่ประเมินไว้

งบประมาณปี 2563 ที่กำลังสิ้นสุดในวันที่ 30 กันยายนนี้ กำหนดวงเงินไว้ที่ 3.2 ล้านล้าน เป็นงบประมาณขาดดุล 4.69 แสนล้านบาท ภายใต้เงื่อนไขรัฐต้องจัดเก็บรายได้ที่ 2.73 ล้านบาท

หมายความว่าส่วนที่ขาดดุลไปกู้มาก้อนหนึ่งแล้ว

ปรากฏว่าเอาเข้าจริงเก็บรายได้ต่ำกว่าคาดถึง 3.94 แสนล้านบาท จากภาวะเศรษฐกิจ ภาคธุรกิจ การจับจ่ายใช้สอยหดตัวเก็บภาษีไม่ได้

เมื่อเงินกู้ก้อนแรก 4.69 แสนล้านบาท ไม่เพียงพอ จึงต้องกู้เพิ่มอีก 2.14 แสนล้านบาท รวมกันแล้วตกประมาณ 6.83 แสนล้านบาท

ความจริงเงินกู้ก้อนใหม่ก็ไม่พอชดเชยกับการเก็บรายได้ ที่ต่ำกว่าเป้าร่วม 4 แสนล้านบาทอยู่แล้ว ยังขาดอีกร่วม 2 แสนล้านบาท

ครั้นจะขออนุมัติกู้มากกว่านั้น ก็ทำไม่ได้อีก เพราะ พ.ร.บ.การบริหารหนี้สาธารณะ วางกรอบการกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณไม่ให้เกินร้อยละ 20 ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี บวกกับอีกไม่เกินร้อยละ 80 ของงบประมาณที่ตั้งไว้สำหรับชำระคืนเงินต้น เพื่อป้องกันรัฐบาลกู้เพลินไม่บันยะบันยัง

กู้ชนเพดานแบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยเอามากๆ

เป็นไปได้ว่า ต้องไปกู้เพิ่มอีกในปีประมาณใหม่ มาปิดหีบงบประมาณ 2563

กลายเป็นดินพอกหางหมู ผลักภาระเป็นทอดๆ

ต้องติดตามคืองบประมาณปี 2564 จะเริ่ม 1 ตุลาคมนี้ ตั้งวงเงินไว้ 3.3 ล้านล้านบาท ประมาณการจัดเก็บรายได้ที่ 2.67 ล้านล้านบาท หมายความว่าต้องกู้เงินมาชดเชยการขาดดุลสูงถึง 6.23 แสนล้านบาท ภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันก็มีโอกาสสูงจะพลาดเป้า อาจต้องขอกู้เพิ่มอีกเช่นกัน

ซุบซิบกันว่า คุณปรีดี ดาวฉาย อำลา รมว.คลัง จะด้วยเหตุผลสุขภาพ จะด้วยแรงกดดันจากการเมือง เมื่อมาเจอข้อมูลตัวเลขทำนองนี้ หรืออาจบานฉ่ำยิ่งกว่า

เลยป่วยกะทันหัน

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image