นายธีรเศรษฐ์ พรหมพงษ์ นักกลยุทธ์เศรษฐศาสตร์มหภาค บมจ.หลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) กล่าวว่า การเลือกตั้งสหรัฐฯวันที่ 3 พฤศจิกายนนี้ ถือเป็นเหตุการณ์สำคัญ( Key Event )ที่นักลงทุนต้องติดตาม นอกเหนือจะเป็นวันชี้ชะตาว่านายโดนัล ทรัมป์ จะสามารถดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีต่อได้อีกวาระหรือไม่ ยังเป็นวันที่จะเกิดความชัดเจนในนโยบายสำคัญหลายๆด้านของสหรัฐ ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ การค้า นโยบายต่างประเทศ ที่ล้วนส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อประเทศต่างๆทั่วโลก ซึ่งแนวทางการดำเนินนโยบายของทั้งนายโดนัล ทรัมป์ และนายโจ ไบเดิน น่าจะเป็นไปในทิศทางเดียวกัน คือพลิกฟื้นเศรษฐกิจ และมุ่งการกลับมายิ่งใหญ่ของประเทศสหรัฐ ภายใต้รายละเอียดปลีกย่อยที่ต่างกัน
นายธีรเศรษฐ์ กล่าวว่า ประเมินว่านายโจ ไบเดิน มีโอกาสสูงที่จะชนะการเลือกตั้ง และจะส่งผลดีระยะสั้นเสี่ยงระยะยาว จากผลสำรวจล่าสุด 14 กันยายนที่ผ่านมา แม้ว่าคะแนนระหว่างนายโจ ไบเดิน และโดนัล ทรัมป์ จะบีบแคบเข้ามาเรื่อยๆ แต่หากเปรียบเทียบช่วงห่างระหว่างผลสำรวจปี 2020 กับ 2016 ซึ่งเป็นปีที่ โดนัล ทรัมป์ คะแนนตามหลังแต่พลิกกลับมาชนะได้ จะเห็นว่าช่วงห่างรอบนี้มีมากกว่าปี 2016 และเป็นการนำอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดตั้งแต่ ม.ค. โดยไม่มีช่วงเวลาใดที่คะแนนพลิกผัน
นายธีรเศรษฐ์ กล่าวต่อว่า ดังนั้น จึงไม่ง่ายที่จะเกิดการพลิกโผแบบปี 2559 ถ้าผลเป็นไปตามผลสำรวจคือโจ ไบเดิน ชนะการเลือกตั้ง ระยะสั้นจะส่งในด้านบวกช่วยลดความตึงเครียดประเด็นสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน ลงได้ แต่จะส่งผลลบในระยะยาวจากนโยบายการปรับขึ้นภาษี คาดว่าจะเกิดขึ้นหลังเศรษฐกิจฟื้นตัวจากโควิด-19 ถือเป็นปัจจัยกดดันต่อสินทรัพย์เสี่ยง และอาจส่งผลต่อความเสี่ยงต่อการเกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจซึ่งเกิดจากการสูญเสียแรงขับเคลื่อนทางการคลังอย่างรุนแรง เนื่องมาจากมาตรการด้านการคลังชั่วคราว ที่ใช้กระตุ้นเศรษฐกิจในยามที่เกิดวิกฤตินั้นสิ้นสุดลง (Fiscal Cliff) แต่ในทางกลับกันหาก นาย โดนัล ทรัมป์ พลิกกลับมาชนะจะถือเป็นด้านบวก (Positive Surprise) เนื่องจากตลาดชอบนโยบายภาษีที่เอื้อต่อบรรยากาศการลงทุน แม้ว่าประเด็นเรื่องสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน อาจกลับมากดดันเป็นระยะๆ ถือว่าไม่ใช่เรื่องใหม่ และตลาดเคยชินแล้วในระดับหนึ่ง บวกกับเศรษฐกิจสหรัฐฯปัจจุบันยังอยู่ในภาวะที่ย่ำแย่ ดังนั้นโอกาสที่นายโดนัล ทรัมป์ จะก่อสงครามการค้ารอบใหม่น่าจะเกิดขึ้นได้ยาก
