เล่าเรื่องอดีตที่เกี่ยวข้องกับพระไตรปิฎก

เมื่อมีอายุมากขึ้นหรือพูดง่ายๆ ก็คือเมื่อแก่มากแล้วเรื่องปัจจุบันหรือเรื่องเมื่อเช้านี้ เมื่อวานนี้นั้นชักจะจำไม่ได้ แต่เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อ 30-40 ปีก่อนกลับจำได้เป็นฉากๆ ชัดแจ๋ว ซึ่งในวันนี้ก็เกิดความทรงจำผุดขึ้นมาเรื่องพระไตรปิฎกจนทนไม่ไหวขอเล่าแชร์ประสบการณ์เรื่องนี้กับท่านผู้อ่านที่เคารพ ขอให้ถือเสียว่าฟังคนแก่เล่าเรื่องอดีตเอาบุญ แต่หากบังเอิญละม้ายคล้ายคลึงกับเหตุการณ์ในปัจจุบันบ้างก็คงไม่ว่ากันนะครับ

เมื่อ 40 กว่าปีที่แล้ว ผู้เขียนมักไปอ่านหนังสือที่หอสมุดกลางของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ซึ่งตอนนั้นตั้งอยู่หลังอนุสาวรีย์คุณหลวงสุวรรณวาจกกสิกิจ (ยังไม่มีอนุสาวรีย์ของอีกสองท่าน) ผู้เขียนได้เจอตู้พระไตรปิฎกบนชั้นสองของห้องสมุดอันเป็นตู้เดี่ยวตั้งอยู่กลางห้อง ล็อกกุญแจอย่างดี ผู้เขียนเกิดความฮึกเหิมขึ้นมา จึงไปขอกุญแจบรรณารักษ์มาเพื่อเปิดอ่าน ซึ่งบรรณารักษ์ท่านดีใจมาก เพราะผู้เขียนเป็นคนแรกตั้งแต่มีตู้พระไตรปิฎกนี้ที่ประกาศอย่างจริงจังว่า “ผมจะอ่าน”

ครับ ! พระไตรปิฎกนั้นเป็นฉบับสยามรัฐครับ ผู้เขียนพยายามเปลี่ยนเล่มอ่านอยู่เรื่อยๆ ซึ่งยิ่งอ่านยิ่งงงและยิ่งอ่านยิ่งไม่รู้เรื่อง ครั้นกัดฟันอ่านอยู่ได้ 2 สัปดาห์ก็ต้องยอมรับความปราชัย เอากุญแจไปคืนบรรณารักษ์พร้อมบอกว่า “ผมมันโง่เกินกว่าที่จะอ่านพระไตรปิฎกเข้าใจได้” แต่ผู้เขียนก็มักท้าให้บรรดาลูกศิษย์ไปอ่านพระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐแล้วมาเล่าให้ฟังโดยผู้เขียนก็จะให้คะแนนพิเศษให้ด้วย ซึ่งก็มีพวกลูกศิษย์ไปพยายามอ่านกันหลายคนเหมือนกัน ปรากฏว่าไม่เห็นใครทนอ่านได้เกิน 1 วันแม้แต่คนเดียว

จนกระทั่งมีพระไตรปิฎกฉบับเฉลิมพระเกียรติ อันเป็นพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับสังคายนาในพระบรมราชูปถัมภ์ พิมพ์โดยกรมการศาสนา กระทรวงศึกษาธิการ เมื่อ พ.ศ.2530 มีอยู่ 45 เล่ม อ่านง่ายกว่าพระไตรปิฎก ฉบับสยามรัฐมากซึ่งที่ห้องสมุดของคณะสังคมศาสตร์มีอยู่ชุดหนึ่ง ผู้เขียนไปพลิกๆ ดูอย่างหวาดเกรง ปรากฏว่าชักอ่านรู้เรื่องขึ้นบ้าง จึงย่องๆ ลงไปอ่านบ่อยๆ เลยได้อะไรที่สนุกๆ มาหลายเรื่อง โดยเรื่องแรกเป็น ปฐมพลสูตร สุตันตปิฎก อังคุตรนิกาย อัฏฐนิบาต เล่ม 23 ข้อ 27 หน้า 251 ท่านอธิบายถึงที่มาของกำลัง 8 ประการของคน 8 จำพวก น่าสนใจมากคือ

Advertisement

1.ทารกมีการร้องไห้เป็นกำลัง อธิบายง่ายๆ เลยคือกำลังอำนาจของทารกนั้นมาจากการร้องไห้โดยแท้ คือพอร้องไห้ขึ้นมาบรรดาผู้ใหญ่ก็ต้องวิ่งวุ่นสนองความต้องการของทารกจนเป็นที่พอใจของทารกเลยละ

2.มาตุคามมีความโกรธเป็นกำลัง อันนี้ตรงกับที่ William Shakspeare เขียนไว้ว่า “Hell hath no fury like a woman scorned.” ซึ่งเชคสเปียร์เขียนทีหลังคำสอนของพระพุทธเจ้าตั้งนาน สำหรับท่านผู้อ่านผู้ชายที่มีอายุมากแล้วทุกคนต้องเข้าใจว่าเวลาสุภาพสตรีโกรธแล้ว อะไรจะเกิดขึ้น

3.โจรมีอาวุธเป็นกำลัง ข้อนี้เป็นความจริงประจักษ์แจ้งในตัวของมันอยู่แล้ว ไม่ต้องอธิบายอะไรก็ได้

Advertisement

4.พระราชามีอิสริยยศเป็นกำลัง ข้อนี้ก็ชัดแจ้งอยู่ในตัวของมันอยู่แล้วเช่นกัน

5.คนพาลมีการเพ่งโทษผู้อื่นเป็นกำลัง อันนี้เห็นจะต้องสารภาพละครับว่า เมื่ออ่านถึงตรงนี้แล้วก็สะดุ้งผวาเหมือนกัน เพราะเพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองก็เป็นคนพาลเหมือนกันเนื่องจากว่าเคยแต่เชื่อว่าตัวเองเป็นคนดี

6.บัณฑิตมีการไม่เพ่งโทษเป็นกำลัง มิน่าละพวกนักวิชาการบ้านเราถึงอ่อนปวกเปียกกันเนื่องจากไม่ค่อยจะมีกำลังนี่เอง มัวแต่ไปเพ่งโทษผู้อื่นเสียหมด

7.พหูสูตรบุคคลมีการพิจารณาเป็นกำลัง อันนี้คือพวกคนรู้รอบ รอบรู้ต้องหมั่นพินิจพิจารณา ไม่ใช่ปากไวกว่าความคิด

8.สมณพราหมณ์มีขันติเป็นกำลัง นักบวชต้องมีความอดทนเป็นกำลังจริงๆ เนื่องต้องขอเขากินนี่ครับ ขอไม่ได้ก็ต้องอดบ้าง นอกจากนี้ เป็นนักบวชจะมีครอบครัวเหมือนคนธรรมดาย่อมไม่ได้ ต้องอดทนเยอะครับ ถ้าไม่อดทนก็โดนจับสึก ดังนั้นเรื่องนักบวชต้องมีความอดทนเป็นกำลังนี่เรื่องจริงแท้เลยนะครับ

คราวนี้มาเรื่องที่สองครับเป็น “ปราภวสูตร” ก็คือสูตรของการปราชัย พูดง่ายๆ ว่าใครอยากจะแพ้ภัยตัวเอง หรือไม่ต้องการแพ้ภัยตนเองก็ต้องอ่านพระสูตรนี้ อยู่ในพระไตรปิฎกเล่ม 25 ข้อ 91-115 หน้า 437-442 มี 12 ข้อ คือ 1) ผู้เกลียดธรรม

2) คนหลงเชื่อคำสอนของอสัตบุรุษ ข้อนี้เมืองไทยสมัยนี้มีเยอะ ต้องระวังให้มากๆ

3) เกียจคร้าน

4) ผู้ไม่ยอมเลี้ยงดูบิดามารดาผู้แก่ชรา

5) คนชอบหลอกลวงตั้งแต่หลอกคนจน หลอกผู้โง่เขลา จนถึงหลอกสมณพราหมณ์ จัดเป็นชั่วเหมือนกันนำไปสู่ความปราชัยทั้งสิ้น ไม่ใช่ว่าหลอกคนฉลาดหรือหลอกคนดีแล้วผิดมากกว่านะครับ

6) คนมีทรัพย์แต่แอบกินของอร่อยคนเดียว ข้อนี้ชัดนะครับ คือ ความตระหนี่นั่นเอง เพื่อนฝูงทะเลาะกันเรื่องหวงของกินนี่มีเยอะแล้ว ซึ่งตรงข้ามกับคำที่ว่า “ผู้ให้ย่อมผูกไมตรีไว้ได้”

7) ผู้เย่อหยิ่งในชาติกำเนิด ในทรัพย์สิน ในวงศ์ตระกูล ชอบดูถูกหมิ่นญาติพี่น้อง ข้อนี้ชัดอีกเหมือนกัน ความจริงก็คนเหมือนกันทั้งนั้น ทำไมต้องดูถูกดูแคลนคนอื่นกันด้วย

8) เป็นนักเลงผู้หญิง นักเลงสุรา นักเลงการพนัน เป็นอย่างใดอย่างหนึ่งก็แพ้ภัยตัวเองแน่นอน ของแพงๆ ทั้งนั้นเลยพาไปสู่ความฉิบหายทั้งนั้น

9) ไม่พอใจเพียงภรรยาของตน ชอบคบชู้สู่สาวภรรยาของคนอื่น ข้อนี้นอกจากจะแพ้ภัยตนเองแล้วยังจะโดนสามีเขาฆ่าเอาได้ง่ายๆ อันตรายจังเลย

10) ข้อนี้สำคัญมากครับ คือ คนแก่ได้ภรรยาสาวมีความหึงหวง นอนไม่ค่อยหลับมีเป็นคาถาด้วย คือ “อะตีตะโยพพะโน โปโส อาเนติ ติมพะรุตถะนิง, ตัสสา อิสสา นะ สุปปติ ตัง ปะราภะวะโต มุขัง”

“ชายใดผู้ถึงวัยแก่เฒ่าชราแล้ว, ได้นำหญิงสาวแรกรุ่นมาเป็นภรรยา, เขานอนไม่หลับเพราะความหึงหวง และห่วงอาลัยในหญิงนั้น ข้อนั้นเป็นทางแห่งความเสื่อม”

11) ตั้งหญิง/ชายที่เป็นนักเลงใช้จ่ายฟุ่มเฟือยเป็นผู้บังคับบัญชา

12) เกิดในขัตติยตระกูล มักใหญ่ใฝ่สูง แต่มีทรัพย์สมบัติน้อยไม่พอแก่การใช้จ่ายในการใหญ่ (มีกำลังทรัพย์ไม่พอ อย่าคิดการใหญ่)

สาเหตุที่ระลึกเรื่องในอดีตขึ้นมาได้น่าจะเป็นเพราะเห็นเด็กมัธยม และนักศึกษามหาวิทยาลัยสมัยนี้ อ่านหนังสือที่ไม่ใช่หนังสือเรียนที่มีเนื้อหาเรื่องเดียวกับหนังสือเรียน แต่อ่านง่ายกว่า รู้เรื่องดีกว่าแล้วนำมาพูดชี้แจงให้ผู้ใหญ่ที่เคยอ่าน และเชื่อหนังสือเรียนตามหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการที่เรียนมา จนผู้ใหญ่ระดับรัฐมนตรีไปไม่ถูกได้แต่กลอกหน้าอย่างที่เห็นๆ กันอยู่

โกวิท วงศ์สุรวัฒน์

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image