“เดอะคลีนิกค์” วางเป้าอีก 2 ปีเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ตั้ง บล.เคทีบี เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน รุกธุรกิจการแพทย์-สุขภาพ

นายรัฐชัย ธีระธนาวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วมสายงานวาณิชธนกิจ – ด้านตลาดทุน บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือบล. เคทีบี เปิดเผยว่า บริษัท เดอะคลีนิกค์ คลินิกเวชกรรม จำกัด (มหาชน) แต่งตั้งให้บล.เคทีบี หรือ KTBST เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน เพื่อเข้าตลาดหลักทรัพย์ ตามแผนที่วางไว้คือปี 2565 โดยขณะนี้อยู่ในกระบวนการเตรียมความพร้อม

นายแพทย์อภิรุจ ทองวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เดอะคลีนิกค์ คลินิกเวชกรรม จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เดอะคลีนิกค์ให้บริการด้านผิวพรรณ ศัลยกรรมความงามและการดูสุขภาพแบบองค์รวมที่ทันสมัยตามหลักการแพทย์ ได้แก่ การให้บริการด้านการรักษาโรคผิวหนัง ผิวพรรณความงาม ลดน้ำหนักดูแลรูปร่าง ศัลยกรรม Woman Wellness และการฟื้นฟูสุขภาพ ปัจจุบันมีทุนจดทะเบียน 80 ล้านบาท และมีคลินิกจำนวน 29 สาขา และมีแผนจะขยายสาขาอีกอย่างน้อย 3-5 สาขาในปี 2564 ด้วยงบลงทุนกว่า 50-100 ล้านบาท พร้อมเดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์เวชสำอางชั้นสูงซึ่งคิดค้นโดยทีมแพทย์ เพื่อตอบโจทย์อุตสาหกรรมเครื่องสำอางค์เฉพาะทาง Special Care ที่มีแนวโน้มเติบโตมากขึ้นเรื่อยๆ

“สำหรับวัตถุประสงค์ในการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในครั้งนี้ ทางบริษัทฯมีแผนนำเงินที่ได้ไปใช้ในการขยายสาขาเพิ่มเติมให้ครอบคลุมทั่วทั้งประเทศและขยายไปยังประเทศกลุ่ม CLMV รวมถึงขยายไปยังธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจการแพทย์และสุขภาพ ซึ่งถือเป็นเทรนด์ที่กำลังมาแรงอยู่ในขณะนี้” นายแพทย์อภิรุจ กล่าว

นายประทีป วาณิชย์ก่อกุล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบัญชีและการเงิน บริษัท เดอะคลีนิกค์ คลินิกเวชกรรม จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า กลุ่มลูกค้าของบริษัทฯส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มระดับกลาง B+ ขึ้นไป ซึ่งมีกำลังซื้อสูง โดยมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคนมากกว่า 9,000 บาทและยังมีโอกาสเติบโตได้เป็นอย่างมาก การเติบโตของธุรกิจเพื่อสุขภาพและความงาม ถ้าวัดจากตลาดระดับโลกมีมูลค่ามากกว่า 900,000 ล้านบาท ตลาดอาเซียนมีมูลค่ามากถึง 500,000 ล้านบาท และในประเทศไทยมีมูลค่าสูงถึง 250,000 ล้านบาท

Advertisement

นายประทีป กล่าวว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทฯในปี 2561 มีรายได้รวม 811 ล้านบาท ปี 2562 อยู่ที่ 990 ล้านบาท ส่วนปีนี้ ตั้งเป้ารายได้แตะระดับ 1,000 ล้านบาท แม้ในช่วงที่ผ่านมาผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 ทำให้ต้องปิดสาขาชั่วคราวเป็นเวลา 2-3 เดือน ตามนโยบายของทางรัฐบาล แต่หลังจากกลับมาเปิดให้บริการตามปกติ พบว่ามีลูกค้ากลับเข้ามาใช้บริการเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นการเติบโตทั้งด้านยอดขายในสาขาเดิมและสาขาใหม่ รวมถึงขยายขอบเขตการให้บริการและ/หรือ ผลิตภัณฑ์ด้านการให้บริการที่ครอบคลุมมากขึ้น

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image