ผู้เขียน | พรรณราย เรือนอินทร์ |
---|
เป็นอีกหนึ่งจุดหมายใกล้กรุงเทพฯ ที่ได้รับความนิยมสูงยิ่ง ด้วยการเดินทางไป-กลับเพียง 1 วัน
สำหรับพระนครศรีอยุธยา เมืองหลวงเก่าแห่งราชอาณาจักรสยามที่ไม่ได้มีแค่อุทยานประวัติศาสตร์ หรือวัดวาอารามในเกาะเมือง หากแต่วัดสำคัญครั้งกรุงรัตนโกสินทร์ก็เปรียบเพชรเม็ดงามในอีกห้วงสมัย ดังเช่น
“วัดนิเวศธรรมประวัติ” ซึ่ง ขรรค์ชัย บุนปาน หัวเรือใหญ่ค่ายมติชน และ สุจิตต์ วงษ์เทศ คอลัมนิสต์ในเครือเตรียมทอดน่องท่องวัฒนธรรมผ่านรายการ “ขรรค์ชัย-สุจิตต์ ทอดน่องท่องเที่ยว” ตอน “อำนาจของนาฏกรรม อยุธยาไล่เรือไปบางปะอิน”
วัดนิเวศธรรมประวัติ ราชวรวิหาร สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 แล้วเสร็จอย่างงดงามเมื่อ พ.ศ.2421 เป็นอารามสำหรับพระภิกษุสงฆ์ฝ่ายธรรมยุติกนิกาย แปลกตาด้วยรูปแบบศิลปกรรมเนื่องในคริสตศาสนาตามที่พระพุทธเจ้าหลวงโปรดให้ถ่ายแบบศิลปะโกธิค โดดเด่นด้วนบานกระจกสีบนประตูหน้าต่างพระอุโบสถ
อีกหนึ่งจุดสำคัญ คือ “สุสานสวนหินดิศกุลอนุสรณ์” ซึ่งเป็นที่บรรจุอัฐิ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ และโอรสธิดา รวมถึงเชื้อสายราชสกุลดิศกุล ทั้งงดงามและเปี่ยมความหมาย
วัดแห่งนี้ ยังเป็นสถานที่ซึ่งสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงคิดแต่ง “ชื่อ กข” ครบ 44 ตัวเมื่อบวชอยู่ ณ วัดนิเวศฯ
‘ข้าพเจ้าบวชขึ้นไปจำพรรษาอยู่วัดนิเวศน์ธรรมประวัติที่เกาะบางประอิน ได้ช่วยจัดการอุปการะแก่โรงเรียนหลวงซึ่งมีอยู่ในวัดนิเวศน์ เห็นเด็กนักเรียนที่เรียนหนังสืออยู่หลายๆ ปี ไม่ใคร่จะรู้ได้เพียงไร
ถามอาจารย์ได้ความว่า เด็กตามหัวเมืองที่มาฝากเรียนหนังสือที่วัดได้มีเวลาเรียนไม่เต็มปี เพราะต้องไปช่วยบิดามารดาหาเลี้ยงชีวิตรปีละหลายๆ เดือน
แบบเรียนหลวงคือแบบมูลบทบรรพกิจ เปนต้น ซึ่งใช้อยู่ในเวลานั้น จะต้องใช้เวลาเรียนไม่ต่ำปีหนึ่งจึงจะรู้ตลอดเล่ม
เมื่อได้ทราบความดังนี้ ข้าพเจ้าจึงคิดเห็นว่าควรจะมีแบบเรียนอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งให้เด็กเรียนจบเล่มได้แต่ภายในหกเดือนที่เปนคราวเรียนในปีหนึ่ง มาปีใหม่ขึ้นเล่มใหม่ แลให้เรียนจบได้ในคราวเดียวเช่นนั้น…’
ไม่เพียงสถาปัตยกรรมสง่างาม และเรื่องราวสำคัญที่เกิดขึ้นในวัดนิเวศธรรมประวัติ หากแต่สถานที่ตั้งของวัดนั่นคือ “บางปะอิน” ยังเป็นจุดหมายในขบวนเรือพระราชพิธีครั้งกรุงศรีอยุธยา โดยล่องลงไปจากเกาะเมืองสู่บางปะอิน เพื่อทำพิธี “ไล่น้ำ” ที่ท่วมข้าวลงสู่บาดาล หวังให้น้ำลดเพื่อให้ชาวนาเก็บเกี่ยวด้วยการเห่กล่อมขอน้ำไหลลงตาน้ำส่งกลับบาดาล บ้านเมืองจึงอุดมสมบูรณ์ด้วยพืชพันธุ์ธัญญาหาร
หากทำพิธีทุกอย่างแล้วน้ำไม่ลด พระเจ้าแผ่นดินจะเสด็จลงเรือไปกลางน้ำ ถือพระแสงดาบฟันน้ำ โปรดให้น้ำลดปรากฏหลักฐานในคำให้การชาวกรุงเก่า
สำหรับคำว่า “บางปะอิน” มีที่มาผ่านเรื่องเล่าหลากหลาย ที่คุ้นหูที่สุด คือการเชื่อมโยงกับ “พระเอกาทศรถ” ว่าทรงพบกับ “นางอิน” จึงเป็น บางปะอิน ทว่า สองกุมารสยาม ขรรค์ชัย-สุจิตต์ เสนอแนวคิดใหม่ ว่ามาจากพระนาม “พระอินทรราชา” กล่าวคือ พื้นที่ซึ่งปัจจุบันเรียกว่าบางปะอิน ในอดีตเรียก “บางกระดาน” หรือ “บางขดาน” ครั้นต่อมา ได้รับการขนานนามเป็น “บางพระอินทราชา” เมื่อนานเข้าจึงกร่อนเป็นบางปะอิน’
อำเภอบางปะอิน ยังเป็นที่ตั้งของวัดสำคัญอีกหนึ่งแห่ง คือ “วัดชุมพลนิกายาราม” ซึ่งพระเจ้าปราสาททองแห่งกรุงศรีอยุธยาโปรดให้สถาปนาขึ้นเมื่อ พ.ศ.2175 หรือเกือบ 400 ปีก่อน
พระราชบิดาของพระองค์อยู่ในตระกูลขุนนางที่มีอำนาจในบางขดาน ซึ่งต่อมาเรียกว่าบางปะอิน
พระเจ้าปราสาททองยังเคยประทับที่บางปะอิน โดยสร้างตำหนักกลางน้ำชื่อว่า “พระที่นั่งไอศวรรย์ทิพยอาสน์” หลังเสียกรุงครั้งที่ 2 เมื่อ พ.ศ.2310 พื้นที่แถบนี้รกร้าง กระทั่งต่อมาในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้สร้างพระตำหนักกลางน้ำ พระราชทานนามตามพระที่นั่งพระองค์เดิม คือ พระที่นั่งไอศวรรย์ทิพยอาสน์
ครั้นต่อมาในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้ปรับปรุงพื้นที่และสิ่งก่อสร้างต่างๆ เพื่อเสด็จประพาส นับเป็นสถานที่สำคัญอันสะท้อนถึงยุคสมัยการปรับตัวของสยามสู่ความเป็นสากลแบบตะวันตก
ย่านบางปะอิน จึงเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ เป็นถิ่นบรรพชนของพระมหากษัตริย์ถึง 2 พระองค์ในประวัติศาสตร์ชาติไทยเมื่อ 4 ศตวรรษที่แล้ว เป็นสถานที่เสด็จประพาสของพระมหากษัตริย์ในยุครัตนโกสินทร์ จึงเป็นมากกว่าแหล่งท่องเที่ยว ทว่า คือแหล่งเรียนรู้ที่น่าเดินทางมาเยี่ยมเยือนสักครั้ง
……….
รายการขรรค์ชัย-สุจิตต์ ทอดน่องท่องเที่ยว ตอน “อำนาจของนาฏกรรม อยุธยาไล่เรือไปบางปะอิน” เผยแพร่ผ่านเฟซบุ๊กมติชนออนไลน์, ข่าวสด, ศิลปวัฒนธรรมและยูทูบมติชนทีวี ในวันพฤหัสบดีที่ 29 ตุลาคมนี้ เวลา 20.00 น.