รัฐบาล ตีโจทย์ผิด ติดกับดัก อำนาจ ม็อบ ยิ่งจับยิ่งโต

รัฐบาล ตีโจทย์ผิด ติดกับดัก อำนาจ ม็อบ ยิ่งจับยิ่งโต

ไม่ว่าจะเป็นการชุมนุมของคณะราษฎร 2563 เมื่อวันที่ 19 กันยายน ณ ท้องสนามหลวง ไม่ว่าจะเป็นการชุมนุมของกลุ่มเดียวกันเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม ณ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย

สิ่งที่ปรากฏแก่สายตาชาวไทยและชาวโลกคือจำนวนผู้เข้าร่วมการชุมนุม

จำนวนผู้เข้าร่วมชุมนุมที่มีมากจนกระทั่งต้องหันมามองสาเหตุของการรวมตัว

สำหรับผู้ชุมนุมประกาศเจตนาการรวมตัวชัดเจน 3 ข้อ

Advertisement

ในจำนวนนี้มี 2 ข้อที่เกี่ยวข้องกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐบาล

นั่นคือ เรียกร้องร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

และเรียกร้องให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ ตามร่างฉบับประชาชน

Advertisement

เมื่อรับฟังสาเหตุของข้อเรียกร้องพบว่ามาจากความเดือดร้อนที่เกิดขึ้นในประเทศ

ปัญหาเศรษฐกิจ ที่หลังจากเกิดการรัฐประหารเมื่อปี 2557 แล้ว เกิดความเหลื่อมล้ำจนประชาชนรู้สึกว่าถูกเอาเปรียบ

ขณะที่คนรวยรวยขึ้น คนจนกลับมีสตางค์น้อยลง

การแก้ไขปัญหาของรัฐบาลเป็นไปด้วยความล่าช้า ภายในทีมเศรษฐกิจไร้เอกภาพ อันเนื่องมาจากสภาพของรัฐบาลผสม

ทุกๆ เดือน ทุกๆ ปี ประชาชนได้ยินแต่ข่าวส่งออกไม่ได้ การใช้จ่ายฝืดเคือง การลงทุนมีแต่ตัวเลข ไร้การลงทุนที่เป็นตัวเงินที่แท้จริง

แม้ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จะใช้วิธีการแก้ปัญหาด้วยการปรับคณะรัฐมนตรี แต่สิ่งที่ปรากฏคล้ายกับว่าเป็นการปรับคณะรัฐมนตรีเพื่อแก้ไขปัญหาการเมืองภายในรัฐบาลมากกว่าแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ

ทั้งนี้ตัวบุคคลที่เข้าดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีเศรษฐกิจก็หายากขึ้นเรื่อยๆ

เมื่อ นายปรีดี ดาวฉาย เข้ามารับตำแหน่งรัฐมนตรีคลัง ไม่กี่วันก็ยื่นใบลาออก ด้วยเหตุผลสุขภาพ

เมื่อต้องหาคนมาทำแทนก็ต้องใช้เวลานาน กระทั่งได้ตัว นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ มาทำหน้าที่

แต่ยังไม่ทันได้แอ๊กชั่นก็เกิดการชุมนุมเรียกร้องไล่ พล.อ.ประยุทธ์ ออกไป

ปัญหาเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น ผูกโยงกับปัญหาการเมือง โดยเฉพาะปัญหาความชอบธรรม ความไม่เป็นธรรม และการเอาเปรียบคนเห็นต่าง

นักเรียนนิสิตนักศึกษาที่ในสายตาคนสูงวัยมองว่า “มุ้งมิ้ง” กลับซึมซับปัญหาทางการเมืองเหล่านั้นเอาไว้

การรัฐประหารฉีกรัฐธรรมนูญทิ้ง แล้วร่างรัฐธรรมนูญใหม่ฉบับ “ดีไซน์มาเพื่อพวกเรา” ในสายตาของเยาวชนคือการสืบทอดอำนาจ คสช.

การสร้างกลไกให้วุฒิสภาได้รับการเลือกจาก พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะหัวหน้า คสช. การสร้างกลไกต่างๆ เพื่อให้ คสช. แปลงร่างจากคณะรัฐประหารไปเป็นรัฐบาลเลือกตั้ง ล้วนอยู่ในสายตาของเยาวชน

เสียงคนรุ่นใหม่ที่เลือกพรรคอนาคตใหม่นั้นเป็นเสียงเตือนแรกที่ คสช. ไม่สนใจ

การร้องเรียนจนกระทั่งพรรคอนาคตใหม่ต้องยุบไป เป็นตัวจุดชนวน “แฟลชม็อบ” ให้เกิดขึ้นและเติบโต

ยิ่งภายหลังมีข่าวการใช้อำนาจเล่นงานคนเห็นต่าง ยิ่งสร้างแรงกดดันให้มากยิ่งขึ้น

ยิ่งใช้อำนาจมาก ยิ่งมีแรงต้านที่รุนแรงขึ้น

เมื่อนักเรียนนิสิตนักศึกษาเริ่มแสดงออก เกิดแฟลชม็อบขึ้นมา สิ่งที่ฝ่ายรัฐบาลและกองเชียร์กระทำในช่วงแรกคือเหยียดหยามดูหมิ่น

เป็นม็อบมุ้งมิ้ง เป็นม็อบไร้เดียงสา เป็นม็อบที่ถูกหลอก เป็นม็อบที่มีนักการเมืองหนุนหลัง เป็นม็อบที่ต่างชาติสนับสนุน เป็นม็อบชังชาติ

เท่ากับว่ารัฐบาลตั้งโจทย์คู่ขนาดจากโจทย์ที่กลุ่มผู้ชุมนุมเรียกร้อง

โจทย์ที่นักเรียนนิสิตนักศึกษาตั้งเพื่อให้แก้ไข คือ การคุกคามคนเห็นต่าง รัฐธรรมนูญที่ดีไซน์มาเพื่อเรา ระบบการศึกษาที่ไร้อนาคต

แต่โจทย์ที่รัฐบาลพยายามแก้ คือ เด็กถูกล้างสมอง เด็กชังชาติ เด็กรับเงินต่างชาติ เด็กไม่รู้เรื่อง

เมื่อรัฐบาลตอบไม่ตรงคำถาม และยังมีขบวนการป้ายสีนักเรียนนิสิตนักศึกษาอยู่เนืองๆ

ในที่สุดก็เกิดการรวมตัวในนามของคณะราษฎร 2563

หลังจากมีการรวมตัว สิ่งที่รัฐบาลดำเนินการก็คือการใช้อำนาจ

ใช้อำนาจประกาศพื้นที่ห้ามเข้า อนุญาตให้เจ้าหน้าที่ใช้อำนาจจับกุมควบคุมตัว

ทุกอย่างยังวนเวียนอยู่กับการใช้อำนาจ ด้วยสมมุติฐานเดิมๆ

ส่วนการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เดิมดูมีความจริงใจ แต่เมื่อฝ่ายรัฐบาลเองเป็นผู้เสนอให้ศึกษาเพิ่มเติม คล้ายกับการเตะถ่วง

กลไกรัฐสภาที่น่าจะสามารถลดความขัดแย้งก็กลายเป็นเพิ่มความขัดแย้งขึ้น

บรรยากาศวันที่กลุ่มผู้ชุมนุมไปยืนตะโกนด่าสมาชิกวุฒิสภานั้นสะท้อนถึงความสิ้นหวัง

ยิ่งเมื่อเจ้าหน้าที่ใช้อำนาจจับกุม “ไผ่ ดาวดิน” และแกนนำนักศึกษาเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม ยิ่งสร้างความโกรธเกลียดรัฐบาลมากขึ้น

คืนวันที่ 14 ตุลาคมต่อด้วยวันที่ 15 ตุลาคม เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ ตัดสินใจประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน สั่งให้มีการสลายการชุมนุม และจับกุมแกนนำ

เย็นวันที่ 15 ตุลาคม ที่แยกราชประสงค์ จึงมีผู้เข้าร่วมชุมนุมมากขึ้น

ยิ่งรัฐบาลใช้อำนาจมาก ผู้ที่มาร่วมชุมนุมก็ยิ่งมาก

กับดักอำนาจนี้เกิดจากการตีโจทย์ผิดพลาด

ทำให้รากเหง้าของปัญหา คือ การเมือง และเศรษฐกิจ ไม่ได้รับการแก้ไข

ผลที่เกิดขึ้นจึงน่าเป็นห่วง เพราะหากสถานการณ์บานปลายไปยิ่งกว่านี้ ไม่เพียงแต่รัฐบาลเท่านั้นที่จะพังพาบ

ประเทศชาติที่ทุกคนรักก็คงบอบช้ำเจ็บหนักอย่างสาหัสสากรรจ์

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image