ภาคธุรกิจตกใจสลายม็อบ ลามย้ายฐานลงทุน

ภาคธุรกิจตกใจสลายม็อบ ลามย้ายฐานลงทุน

การชุมนุมของกลุ่ม”ราษฎร” และการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรงใน กทม. เพื่อควบคุมการชุมนุม ทำให้ภาคธุรกิจ การลงทุน เกิดความวิตกเนื่องจากไม่สามารถประเมินเหตุที่เกิดขึ้นจะส่งผลกระทบในทิศทางใด

เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม นายสนั่น อังอุบลกุล รองประธานกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ระบุว่า ภาพการชุมนุมและการปะทะระหว่างเจ้าหนาที่ตำรวจและผู้ชุมนุม สร้างความตกใจและกังวลให้กับภาคธุรกิจทั้งนักธุรกิจไทยและต่างชาติ โดยระยะสั้นกังวลต่อความไม่ชัดเจนว่าการชุมนุมจะเกิดขึ้นอีกไหม ยืดเยื้อ และนำไปสู่ความรุนแรงหรือไม่ ซึ่งในทางธุรกิจเรื่องที่เดายากย่อมกระทบต่อการเตรียมแผนธุรกิจและการตัดสินใจลงทุน จากเดิมคาดหวังว่าตั้งแต่เดือนตุลาคมเป็นต้นไป ปัจจัยต่อธุรกิจจะดีขึ้น ทั้งรัฐปลดล็อกให้ธุรกิจเปิดทำการปกติจนเริ่มเข้าที่ จนเตรียมเปิดประเทศให้ต่างชาติเดินทางเข้ามาได้มากขึ้น แต่เมื่อเกิดเหตุปะทะกลับซ้ำเติมความเชื่อมั่นที่ยังไม่ฟื้นตัวแย่ลงไปอีก

นอกจากนั้นการชุมนุมที่ยังยืดเยื้อและรูปแบบเปลี่ยนไป เป็นปัจจัยที่ควบคุมได้ยาก ถือเป็นเรื่องน่าห่วงสำหรับสังคมไทยในอนาคตด้วย

สัญญาณเงินทุนไหลไปเวียดนาม ในระยะกลางรัฐบาลต้องเร่งแก้ไข ไม่เช่นนั้นการลงทุนใหม่จะไหลออกนอกประเทศไปประเทศเพื่อนบ้านมากขึ้น เช่น เวียดนาม

Advertisement

ขณะที่นายธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาองค์การนายจ้าง ผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย (อีคอนไทย) กล่าวว่า สถานการณ์การเมืองในปัจจุบัน ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นภาคการลงทุน แม้ไม่ใช่ปัจจัยหลักโดยตรงทำให้นักลงทุนย้ายฐานการผลิตไปประเทศเพื่อนบ้าน แต่เป็นตัวกระตุ้นให้นักลงทุนตัดสินใจง่ายขึ้น ที่สำคัญการใช้ความรุนแรงในการสลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม เกรงว่าเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการชุมนุมเข้มข้นมากขึ้น และอาจสร้างแรงส่งให้เกิดม็อบกระจายตัวไปทุกต่างจังหวัด ยิ่งซ้ำเติมบรรกาศการลงทุนให้แย่ลง

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image