‘จุรินทร์’ รับ 15 ปมภาคธุรกิจเร่งแก้ไข มุ่งดันส่งออก – เอกชนมองปี 64 ส่งออกยังลบ

‘จุรินทร์’ รับ 15 ปมภาคธุรกิจเร่งแก้ไข มุ่งดันส่งออก – เอกชนมองปี 64 ส่งออกยังลบ

เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่กระทรวงพาณิชย์ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ พร้อมผู้บริหารระดับสูงกระทรวงพาณิชย์ ประชุมร่วมกับภาคเอกชน ได้แก่ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือ สมาคมธนาคารไทย และธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย(เอ็กซิมแบงก์) หรือความร่วมมือรัฐกับเอกชน(กรอ. พณ.) เพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ (กรอ.) โดยนายจุรินทร์ กล่าวภายหลังว่า กระทรวงพาณิชย์กับภาคเอกชน มีเป้าหมายผลักดันการส่งออกเพื่อนำรายได้เข้าประเทศ ภายใต้สถานการณ์ประเทศกำลังประสบปัญหาทั้งเรื่องโควิด-19และด้านเศรษฐกิจ โดยมุ่งผลักดันความร่วมมือนำสู่ผลสัมฤทธิ์อย่างเป็นรูปธรรม ทั้งนี้ สรุปแก้ปัญหา 3 หมวดหลัก คือ การเร่งรัดการส่งออก การค้าชายแดนและการค้าข้ามแดน และผลักดันยุทธศาสตร์การเจรจาข้อตกลงทางการค้าภายใต้สถานการณ์ปัจจุบัน

นายจุรินทร์ กล่าวว่า โดยมีรวมประเด็นเร่งแก้ไขรวม 15 ประเด็น คือ 1.การเร่งรัดส่งออกข้าว โดยเฉพาะเจรจาจีนรับมอบอีก 3 แสนตันในข้อตกลงเอ็มโอยูไทยกับจีนที่มีข้อตกลงซื้อข้าวไทย 1 ล้านตัน โดยสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยกำลังเสนอราคา 2.ผลักดันการส่งออกรถยนต์ไปประเทศเวียดนาม ที่ติดขัดเรื่องการตรวจสอบมาตรฐานรถยนต์ ที่มีกฎเกณฑ์รายละเอียดตรวจสอบมาก เช่น ตรวจทุกรุ่น ซึ่งกลุ่มประเทศอาเซียนมีข้อตกลงยอมรับการตรวจรถยนต์นำเข้าหรือส่งออกระหว่างกันโดยไม่ต้องตรวจซ้ำซ้อนปลายทางอีก และเห็นชอบแล้ว 10 ประเทศ คาดว่าภายในกลางปีหน้าจะลงนามและช่วยให้ส่งออกรถยนต์ไทยไปเวียดนามคล่องตัวขึ้น 3.การส่งออกของไทยไปอินเดีย มีการตรวจสอบรายโรงงานและรายสินค้า ทำให้เกิดปัญหาอุปสรรคในการส่งออก ที่ประชุมมอบให้กระทรวงพาณิชย์โดยกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ หารือทางไกลวันที่ 29 ตค.นี้ให้สะดวกรวดเร็วและเป็นประโยชน์กับทั้งสองฝ่ายมากขึ้น

นายตจุรินทร์ กล่าวต่อว่า 4.การส่งออกรถยนต์ รถยนต์ที่ผลิตใหม่ภายในประเทศไทยเวลาจะส่งออกนั้นจะติดขัดเรื่องยังไม่มีทะเบียนต้องไปทำทะเบียน อันนี้เป็นปัญหาอุปสรรคในการส่งออก ได้มอบให้กรมการค้าต่างประเทศไปหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม เป็นต้น 5.ภาคเอกชนต้องการให้ภาครัฐช่วยประชาสัมพันธ์สร้างความเชื่อมั่นให้กับสินค้าไทย ว่าปลอดโควิดซึ่งกระทรวงพาณิชย์ได้ดำเนินการไปล่วงหน้าแล้ว มีการลงนาม MOU ร่วมกัน 4 กระทรวง ระหว่าง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงมหาดไทย โดยจะมีการออกเอกสารรับรองว่าสินค้าปลอดโควิด-19และกระทรวงพาณิชย์จะจัดงานประชาสัมพันธ์เป็นคลิปVODหลายภาษาออกไปทั่วโลกเพื่อประชาสัมพันธ์ว่าสินค้าของเรามีกระบวนการผลิตที่ปลอดโควิด-19 6.เรื่องต้นทุนการขนส่ง เช่น ค่าระวางเรือกับค่าทำเนียมเรือที่มีราคาสูง และที่อาจมีการยกเลิกตู้ที่ประเทศไทยจองไว้หรือที่การท่าเรือแห่งประเทศไทยบังคับให้ภาคเอกชนหรือผู้ส่งออกต้องไปใช้ท่าเรือชายฝั่ง A0 ซึ่งค่อนข้างคับแคบ ทำให้ติดอุปสรรคที่ต้องการความรวดเร็วการเรียกเก็บค่าการใช้ร่องน้ำ กระทรวงพาณิชย์จะร่วมกับภาคเอกชนในการหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อหาทางคลี่คลายปัญหานี้โดยเร็วต่อไป

นายจุรินทร์ กล่าวต่อว่า 7.เรื่องค่าเงินบาทได้มอบให้ปลัดกระทรวงพาณิชย์ไปพูดในที่ประชุม ศบศ.หรือศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจต่อไป 8.การที่เวียดนามได้มีการไต่สวนกล่าวหาว่าน้ำตาลไทยทุ่มตลาดในเวียดนาม มอบหมายให้กรมการค้าต่างประเทศร่วมกับสมาคมผู้ส่งออกน้ำตาลของไทยหารือร่วมกันในการทำคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาต่อไป 9.การช่วยผู้ส่งออกรายย่อยหรือเอสเอ็มอีนั้น จะให้เอ็กซิมแบงค์ช่วยเพิ่มช่องทางและเพิ่มเป้าหมายที่จะช่วยเอสเอ็มอีให้เพิ่มขึ้นได้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 30 และเอ็กซิมแบงค์ช่วยเพิ่มชนิดของสินทรัพย์หรือทรัพย์สินที่นำไปเป็นหลักประกันเงินกู้เพิ่มเติมเพื่อให้สามารถกู้ได้สะดวกขึ้น 10.การค้าชายแดนและการค้าข้ามแดน อยากให้มีการเปิดด่านหรือจุดผ่อนปรนเพิ่มมากขึ้นโดยเฉพาะไทยลาวมีทั้งหมด 39 จุดไทยกัมพูชามี 10 จุด มอบหมายให้ผู้แทนของกรมการค้าต่างประเทศไปหาหรือกับหอการค้า กำหนดจุดเร่งด่วนที่เป็นเป้าหมาย ที่จะเร่งช่วยผลักดันให้มีการเปิดด่านต่อไปเพื่อส่งเสริมตัวเลขการส่งออกให้มากขึ้นโดยเร็ว

Advertisement

นายจุรนิทร์ กล่าวต่อว่า 11.ให้มีการเชื่อมเขตเศรษฐกิจพิเศษ 3 ประเทศ ไทย ลาว และจีน เพราะทั้งสามประเทศมีเขตเศรษฐกิจพิเศษ ถ้าสามารถเชื่อมโยงเขตเศรษฐกิจพิเศษทั้งสามเขตนี้ได้ เส้นทางคมนาคมความร่วมมือและการให้สิทธิพิเศษทางการค้าระหว่างกัน จะช่วยส่งเสริมการส่งออกให้ทั้งสามประเทศ12.ต้องการให้มีการพัฒนาส่งเสริมผู้ประกอบการด้านโลจิสติกส์ของไทยเพิ่มมากขึ้น เพื่อส่งเสริมการค้าชายแดนและการค้าข้ามแดน โดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศจะร่วมมือกับภาคเอกชนว่าทำเป็นรูปธรรมได้อย่างไร13.การอำนวยความสะดวกการส่งสินค้าข้ามแดนและสินค้าชายแดนในการออกใบ C/O ซึ่งเอกชนร้องเรียนว่าอาจติดปัญหาอุปสรรค ถึงมอบเป็นนโยบายว่าให้ไปหารือในรายละเอียดร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ ว่ามีปริมาณการจราจรทาง C/O มากน้อยแค่ไหน ให้ถือหลักว่ากระทรวงพาณิชย์ยินดีให้บริการให้ดีที่สุด แม้แต่ในช่วงวันหยุด เพื่อที่จะเร่งรัดการส่งออกในช่วงวิกฤติ

14.ในเรื่องของยุทธศาสตร์การเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เป้าหมายคือ 1.เราจะเร่งรัดการทำ FTA ระหว่างไทยกับสหภาพยุโรป ไทยกับสหราชอาณาจักร ไทยกับแคนาดา ไทยกับ EFTA และไทยกับกลุ่มประเทศยูเรเซีย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง RCEP ซึ่งจะร่วมมือให้มีการลงนามให้ได้ภายใน พฤศจิกายน 2563 และผมมอบให้มีการทำFTA รายมณฑล คือการทำ MOU ระหว่างกระทรวงพาณิชย์ของไทย ภาคเอกชน ประกอบกับมนฑลต่างๆหรือรัฐต่างๆของประเทศใหญ่ๆ เพื่อลงลึกในการที่จะให้มีข้อตกลงพิเศษทางการค้าระหว่างกัน ขณะนี้มีความคืบหน้าของกระทรวงพาณิชย์ไทยกับมณฑลไหหลำ ซึ่งไหหลำจะกลายเป็นเมืองปลอดภาษีแห่งถัดไปของจีนหรือจะเป็นฮ่องกงสองในอนาคต เราจะเข้าไปเป็นกลุ่มแรกๆ อีกไม่นานนี้จะลงนามข้อตกลงได้ เพราะยกร่างเสร็จแล้วรอทั้งสองฝ่ายปรับปรุงแก้ไขระหว่างกันจะนำไปสู่การลงนามได้ภายในเวลาเร็ว และข้อตกลงระหว่างกระทรวงพาณิชย์ไทยกับรัฐเตลังกานาของประเทศอินเดียซึ่งมีความก้าวหน้ามาก ได้มีการกำหนดวันที่จะลงนามร่วมกันแล้วเครื่องวันที่ 18 มกราคมปีหน้า ซึ่งครบรอบหนึ่งปีที่ผมนำเอกชนไปเยือนรัฐเตลังกานาที่ประเทศอินเดีย

15.เมื่อ FTA บรรลุผลมากขึ้น จะมีผู้ได้รับผลกระทบจากการทำ FTA อยู่บ้างในบางกลุ่มของผู้ส่งออกหรือผู้ประกอบการรวมทั้งประชาชนภาคการเกษตร ควรมีการจัดตั้งกองทุน FTA เพื่อไปเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบ มอบให้ปลัดกระทรวงพาณิชย์เป็นประธาน และอธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศเป็นเลขานุการยกร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งกองทุน FTA ขึ้นมา และต่อไปนี้ภาครัฐกับเอกชนจะจับมือร่วมกันร่วมกันแก้ปัญหา เดินหน้าด้วยกัน เพื่อทำตัวเลขการส่งออกให้ดีที่สุดและนำเงินเข้าประเทศให้มากที่สุดในช่วงวิกฤติของประเทศและวิกฤติโลกในปัจจุบัน

Advertisement

ด้าน นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า สำหรับการหารือ กรอ.พาณิชย์ ครั้งนี้ เชื่อว่าเป็นแนวทางสำคัญที่ทุกหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ในการหาทางออกแก้ไขปัญหาจากผลกระทบที่เกิดขึ้น พร้อมกันนี้ จะเป็นส่วนช่วยให้เอกชนผลักดันการส่งออกและลดต้นทุนที่เกิดขึ้น นอกจากนี้ สำหรับทิศทางการส่งออกทั้งปี 2563 ของไทยนั้น จากที่ประชุม กกร. มองเป้าหมายการส่งออกไทยทั้งปี ติดลบ 10-12% ในช่วงต้นปี และปรับประมาณการอย่างต่อเนื่องลงมาที่ลบ 8-10% และจากสถานการณ์ที่ดีขึ้น แนวทางการแก้ไขปัญหาการส่งออก เชื่อว่าการส่งออกทั้งปีนี้ น่าจะต่ำกว่าที่ประเมินไว้ โดยเฉพาะขณะนี้ตัวเลขการส่งออกรถยนต์ปรับตัวดีขึ้น

นายสนั่น อังอุบลกุล รองประธานกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า หอการค้าไทยมองว่าการส่งออกไทยทั้งปี 2563 คาดว่าจะอยู่ที่ลบ 6.5% จากทิศทางสถานการณ์ต่างๆดีขึ้น ส่งผลต่อภาคการส่งออกเริ่มขยับตัว นอกจากนี้ ยังประเมินว่าการส่งออกไตรมาส 4 / 2563 จะมีทิศทางที่ดีขึ้น ส่งผลให้เชื่อว่าการส่งออกในช่วงไตรมาส 1 / 2564 จะยังติดลบแต่ลบไม่มาก

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image