‘มาดามเดียร์’แนะรัฐเร่งเปิดเวทีแลกเปลี่ยน ‘คนรุ่นใหม่’ ยึดเหตุผล-หาจุดสมดุล

‘มาดามเดียร์’ ชี้ต้องแก้ที่ต้นตอปัญหา ระบบการศึกษา-วัฒนธรรม และเทคโนโลยี แนะรัฐเร่งเปิดเวทีแลกเปลี่ยนกับ ‘คนรุ่นใหม่’ ยึดเหตุผล -หาจุดสมดุล สร้างการมีส่วนร่วมพัฒนาประเทศอย่างสร้างสรรค์

เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม เวลา 15.30 น.ที่รัฐสภา น.ส.วทันยา วงษ์โอภาสี ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) อภิปรายในการประชุมสภาสมัยวิสามัญเพื่อหาทางออกประเทศว่า ในช่วงเกือบสองสัปดาห์ที่ผ่านมา เราเห็นความร้อนแรงการชุมนุมที่ทวีคูณมากยิ่งขึ้น มีหลายประเด็นที่ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดท่ามกลางการชุมนุมต่างๆ บ่อยครั้ง แต่ก็มีบางประเด็นที่ถูกหยิบยกขึ้นมาวิพากษ์ครั้งแรกในสังคมไทย ได้สร้างความไม่สบายใจกับประชาชนจำนวนมากในประเทศ นั่นคือ การวิพากษ์ถึงสถาบัน ที่วันนี้ได้สร้างความแตกแยกทางความคิดและกำลังสร้างรอยร้าวไปสู่สถาบันครอบครัว จากปัญหาการเมืองกลายเป็นปัญหาสังคม แต่ถ้าหากเราตั้งใจรับฟังทุกรายละเอียดที่มีการวิพากษ์ของกลุ่มผู้ชุมนุม

“วันนี้เราจำเป็นต้องแยกแยะให้ออกก่อนระหว่างข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุมที่มีเป้าประสงค์ทางการเมือง และผู้ชุมนุมที่หวังอยากจะเห็นการเปลี่ยนแปลงประเทศไปสู่คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ซึ่งในหลายๆ ปัญหาที่ถูกวิจารณ์นั้นเราสามารถลงมือแก้ไขได้ โดยที่ไม่ต้องรอให้มันเป็นปัญหาสะสมจนกลายเป็นระเบิดเวลาลูกใหญ่ และกลายเป็นปัญหาพาดพิงไปจนถึงประเด็นที่เป็นเรื่องละเอียดอ่อนของคนในชาติ” น.ส.วทันยาระบุ

น.ส.วทันยากล่าวด้วยว่า สิ่งสำคัญในวันนี้คือ การร่วมกันหาทางออกร่วมกันอย่างไร เพื่อไม่ให้รัฐเกิด Failed State ทำให้ประเทศเกิดปัญหาซับซ้อนบานปลาย เพราะในปัจจุบันรัฐยังมีหน้าที่สำคัญในการแก้ไขปัญหาสาธารณสุขและเศรษฐกิจจากพิษไวรัสโควิด-19 ซึ่งจุดเริ่มต้นคือ การถอยคนละก้าว จากแถลงการณ์ของนายกฯ เมื่อวันที่ 21 ต.ค.ที่ผ่านมา ก็นับเป็นข้อดีที่รัฐบาลประกาศอย่างชัดเจนในการเริ่มต้นเป็นผู้ถอย เพื่อสร้างบรรยากาศที่ดีในสังคม พร้อมยืนยันว่า ข้อเสนอจากผุ้ชุมนุมนั้นรัฐบาลรับฟังและได้ยินแล้ว แต่การตอบรับด้วยการได้ยินอาจไม่เพียงพอสำหรับผู้ชุมนุมที่มีข้อเรียกร้องหลายประเด็น

Advertisement

“สิ่งที่รัฐควรดำเนินการคือ เปิดพื้นที่หรือเวทีกลางทั้งในและนอกสภาควบคู่กัน เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางตรงจากทั้งสองฝ่ายระหว่างรัฐและประชาชน เช่น การแลกเปลี่ยนข้อมูลทางด้านกฎหมาย การแลกเปลี่ยนทรรศนะความคิด โดยเฉพาะการแลกเปลี่ยนข้อมูลกับกลุ่มคนรุ่นใหม่เพื่อให้เขาเหล่านั้น ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาประเทศอย่างสร้างสรรค์ แต่ทั้งนี้ ข้อเสนอของทั้งสองฝ่าย ต้องเป็นไปด้วยเหตุผลที่สังคมยอมรับเพื่อหาจุดสมดุลที่เป็นประโยชน์กับประเทศ” น.ส.วทันยากล่าว

น.ส.วทันยากล่าวว่า นอกจากนี้ อยากเสนอให้รัฐกลับมาพิจารณาตั้งแต่โครงสร้างของปัญหา ซึ่งอาจเป็นการทำงานระยะยาว แต่รัฐจำเป็นต้องเริ่มทำเพื่อแก้ไขปัญหาที่เป็นจุดต้นตอของสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุงกระบวนการศึกษาที่จะทำอย่างไรให้เยาวชนเกิดความเชื่อมั่นต่อระบบการศึกษาไทย ในขณะที่โลกภายนอกนั้นเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เราจะปรับการศึกษาไทยอย่างไรที่ทำให้นักเรียนเชื่อมั่นว่า ในอนาคตพวกเขาเหล่านั้นจะยังคงมีความมั่นคงในอาชีพและสวัสดิการ ท่ามกลางการเข้ามาของเทคโนโลยี AI เราพูดถึงข้อมูลข่าวปลอม การแทรกแซงจากต่างชาติ แต่วันนี้เราพร้อมหรือยังที่จะบรรจุหลักสูตร Media Information and Digital Literacy เข้าในระบบการศึกษาเพื่อให้เยาวชนมีภูมิคุ้มกันที่ดี หรือกระทั่งการให้ความรู้วิชาประวัติศาสตร์ ข้อมูลด้านต่างๆ ของประเทศเพื่อให้เยาวชนได้ข้อมูลที่ถูกต้องครบถ้วนก่อนที่จะนำไปตกผลึกทางความคิด หรือกระทั่งการปรับปรุงการทำงานของกระทรวงวัฒนธรรม ที่วันนี้การอนุรักษ์วัฒนธรรมเดิมกับการเข้าใจวัฒนธรรมที่เปลี่ยนไป ที่โลกทั้งใบนั้นเชื่อมโยงเข้าหากัน สังคมกลายเป็นสังคมพหุวัฒนธรรม หรือที่เรียกว่า Mixed Culture

“เชื่อว่า เยาวชนไม่ได้ทอดทิ้งความภูมิใจในความเป็นไทย แต่เราจะนำอัตลักษณ์ของประเทศมาปรับใช้อย่างไรให้เข้ากับยุคสมัย เพื่อให้เยาวชนซึมซับเข้าถึงได้จริง นอกจากนี้ รัฐต้องเร่งรัดปรับปรุงการสื่อสาร ที่ต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการนำเสนอไปตามยุคสมัยด้วยเนื้อหาที่กระชับ เข้าใจง่าย รัฐบาลต้องสื่อสารการทำงานอย่างต่อเนื่องและตรงไปตรงมา หรือ Transparency ที่อธิบายตั้งแต่เหตุผลไปจนถึงเป้าหมายของการทำงาน ด้วยการใช้เทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์สูงสุดในรูปแบบการสื่อสารสองทาง Two-way Communication เพื่อให้เกิดการมีส่วนร่วมจากภาคประชาชนในการทำงาน นี่เป็นเพียงตัวอย่างบางส่วนที่หากเราตั้งใจฟังจะพบเนื้อหาที่เป็นต้นตอนำไปสู่ข้อเรียกร้องในเวลานี้ ดังนั้นถ้าเราเข้าใจจุดเริ่มต้นของปัญหา เราก็จะเดินหน้าไปด้วยกันได้ เราทุกคนก็ล้วนต้องการสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับประเทศไทย เพียงแต่แต่ละคนก็อาจมีวิธีการและจุดยืนในการรักประเทศชาติที่ต่างกัน และสุดท้ายจุดยืนของตนคือ เชื่อว่าการยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ยังคงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับประเทศไทยของเรา” น.ส.วทันยาระบุ

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image