นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ในฐานะประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ประเมินว่าการใช้จ่ายในช่วงวันหยุดยาว 4 วันที่รัฐบาลประกาศให้หยุดต่อเนื่อง ระหว่างวันที่ 19-22 พฤศจิกายนนั้น คาดว่าจะมีเงินสะพัดประมาณ 4,000-6,000 ล้านบาท โดยเงินที่ใช้จ่ายเป็นเรื่องกระตุ้นใช้จ่ายจากโครงการคนละครึ่ง และโครงการช้อปดีมีคืน ทำให้บรรยากาศการใช้จ่ายโดยทั่วไปคึกคักพอควร แต่อย่างไรก็ตาม ยังเป็นการใช้จ่ายสะพัดน้อยกว่าหยุดยาวครั้งก่อนที่ตรงกับช่วงวันวิสาขบูชา ซึ่งมีเรื่องของการเดินทางทำบุญไหว้พระและพบปะในครอบครัว ซึ่งเงินใช้จ่ายสะพัดกว่า 9,000 ล้านบาท
“การหยุดยาว 4-5 วัน หากจะให้เงินใช้จ่ายสะพัดเป็นหมื่นล้านบาทได้ อย่างที่ภาคท่องเที่ยวประเมินไว้ ต้องนำเงินใช้จ่ายของกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติมาเที่ยวไทยในช่วงนั้นๆ มาคิดคำนวณด้วย แต่ในปัจจุบันการหยุดยาวเพื่อให้คนไทยได้ใช้จ่ายและออกเดินทาง อีกทั้งการหยุดเป็นหน่วยงานรัฐเป็นหลัก แต่ในส่วนของเอกชน สถาบันการเงิน จะยังทำงานอยู่เป็นส่วนใหญ่ เงินใช้จ่ายเพื่อวันหยุดจึงไม่น่าจะสูงมากนัก “นายธนวรรธน์ กล่าว
แหล่งข่าวจากสมาคมค้าปลีก กล่าวถึงการใช้จ่ายในช่วงวันหยุดต่อเนื่อง 4 วัน ระหว่างวันที่ 19-22 พฤศจิกายนนั้น ซึ่งไม่ได้ตรงกับวันหยุดเทศกาลพิเศษการใช้จ่ายก็น่าจะยังเป็นปกติ ไม่ได้ซื้อสินค้าอะไรที่พิเศษกว่าปกติ และบางส่วนยังวิตกต่อสถานการณ์การชุมนุมทางการเมืองและเสถียรภาพรัฐบาล รวมถึงปัญหาการเงินที่ต้องระมัดระวังใช้จ่ายจากปัญหาว่างงานและการแพร่ระบาดโควิด-19 ที่ไม่สามารถเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ส่งผลต่อเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัว การใช้จ่ายอย่างระมัดระวังยังสูงมาก และส่วนใหญ่เตรียมเงินไว้ใช้ในช่วงหยุดยาวเดือนธันวาคมและเที่ยวปีใหม่
