ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์ เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม วินิจฉัยกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พักบ้านพักในกรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็ก ราชวัลลภรักษาพระองค์ ว่า ไม่ขัดรัฐธรรมนูญ
ทั้งนี้ ส.ส.จำนวน 55 คน ได้ส่งเรื่องให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า พล.อ.ประยุทธ์ ที่พักบ้านพักของทางราชการเป็นบ้านพักอาศัยนั้นขัดรัฐธรรมนูญ อันมีผลให้ความเป็นนายกรัฐมนตรีต้องสิ้นสุดลงเฉพาะตัวหรือไม่
โดยศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า พล.อ.ประยุทธ์ พักอาศัยบ้านพักรับรองของกองทัพบก ซึ่งกองทัพบกพิจารณาจัดบ้านพักรับรองกองทัพบก สนับสนุนค่ากระแสไฟฟ้า และน้ำประปาใช้งานในบ้านพักรับรอง เป็นไปตามระเบียบกองทัพบกว่าด้วยการเข้าพักอาศัยในบ้านพักรับรองกองทัพบก 2548 จึงไม่เป็นกรณีการถือประโยชน์ส่วนตนมากกว่าประโยชน์ของประเทศ
ไม่เป็นการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ เพื่อตนเอง
ไม่เป็นการขอ เรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด ในประการที่อาจทำให้กระทบกระเทือนต่อการปฏิบัติหน้าที่และไม่เป็นการกระทำอันเป็นการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนตนกับประโยชน์ส่วนรวม ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม เว้นแต่เป็นการรับที่มีบทบัญญัติกฎหมาย ระเบียบ และข้อบังคับ ให้รับได้
และไม่มีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง
ผลการวินิจฉัย ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้ต่อไป
ผลการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ถือเป็นที่สุด และมีผลผูกพันกับองค์กรอื่นๆ
ดังนั้น เมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีมติ 9 ต่อ 0 เห็นว่า พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ผิด
จึงถือว่ากรณีดังกล่าวสิ้นสุดแล้ว
แม้ว่า ภายหลังคำวินิจฉัยจะมีข้อสงสัยเชิงวิชาการที่ตั้งคำถามเกี่ยวกับสถานะของระเบียบข้อบังคับของกองทัพ กับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
หรือแม้ว่า จะมีกระบวนการทางการเมืองที่พรรคฝ่ายค้านประกาศว่าจะดำเนินการต่อด้วยการนำไปอภิปรายไม่ไว้วางใจ
หรือแม้ว่า จะนำผลการวินิจฉัยไปดำเนินการใดๆ แต่เมื่อกฎหมายกำหนดให้ฟังคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ
ย่อมถือว่า กรณีดังกล่าว พล.อ.ประยุทธ์ ไม่มีความผิด
ในวันที่มีคำวินิจฉัย กลุ่มราษฎรซึ่งมีเป้าประสงค์ให้ พล.อ.ประยุทธ์ ลาออกจากตำแหน่งนายกฯ ได้ตั้งเวทีชุมนุมกันที่ห้าแยกลาดพร้าว
รูปแบบการจัดชุมนุมในวันดังกล่าวสอดรับกับเหตุการณ์วันวินิจฉัยคดีของ พล.อ.ประยุทธ์ และประเด็นการอภิปรายมุ่งไปที่การปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม
เมื่อปรากฏผลวินิจฉัยออกมาในช่วงบ่าย ช่วงเย็นบรรดาแกนนำได้ขึ้นอภิปรายพาดพิงถึงศาลรัฐธรรมนูญ
กระทั่ง รุ่งขึ้น ศาลรัฐธรรมนูญประสานกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ดำเนินการกับแกนนำกลุ่มผู้ชุมนุม
ทั้งนี้เพราะตุลาการดำเนินการพิจารณาตามรัฐธรรมนูญ
วิธีดำเนินการต่างๆ ที่ปรากฏว่า ถูกวิพากษ์วิจารณ์ล้วนแล้วมาจากข้อบัญญัติในรัฐธรรมนูญ
รัฐธรรมนูญปี 2560
ผลที่เกิดขึ้นจึงตอกย้ำให้สังคมมองเห็นต้นเหตุของปัญหาอีกครั้ง
มองเห็นปัญหาที่เกิดมาจากรัฐธรรมนูญ
จากประเด็นที่มีผู้ตั้งข้อสงสัยระหว่างสถานะของกฎระเบียบกองทัพกับรัฐธรรมนูญว่าควรจะยึดอะไรเป็นหลัก
เรื่อยไปถึงประเด็นเนื้อหา ประเด็นมาตรฐานการดำเนินการ ประเด็นที่มาซึ่งกำลังกลายเป็นเงื่อนไขในการเคลื่อนไหว
ประเด็นต่างๆ กำลังถูกจุดปะทุขึ้นมาให้สังคมได้แลเห็น และมีความพยายามผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
เปลี่ยนแปลงด้วยการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมโดยเริ่มต้นกันที่การยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ทดแทนรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน
ผลักดันให้รัฐธรรมนูญกับกฎระเบียบข้อบังคับต่างๆ สอดคล้องกัน เพื่อให้การปฏิบัติมีมาตรฐาน
ผลักดันให้มองหา “ที่มา” และ “ที่ไป” ที่ทำให้สังคมยอมรับและเชื่อมั่นในกระบวนการดำเนินการ
ทั้งนี้เพื่อให้ปัญหาต่างๆ ที่กำลังพอกพูนคลี่คลายลงไป
ไม่ทำให้การแก้ไขเข้าทำนอง “ยิ่งแก้” ก็ “ยิ่งยุ่ง” เหมือนเช่นปัจจุบัน
สถานการณ์หลังจากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยคดีของ พล.อ.ประยุทธ์ หากเป็นทีมงานฝ่ายรัฐบาลอาจมองว่า “กำลังมีชัยชนะ”
เพราะ พล.อ.ประยุทธ์ ได้รับการการันตีจากศาลรัฐธรรมนูญว่าการกระทำดังกล่าวถูกต้อง
เหมือนดั่งคำให้สัมภาษณ์ของ พล.อ.ประยุทธ์ ก่อนการวินิจฉัยคดีจะเริ่มต้น 1 วัน
นั่นคือ ทำดี สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมคุ้มครอง
อย่างไรก็ตาม จากสถานการณ์เดียวกัน กลุ่มที่ต้องการขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ มิได้คิดเช่นนั้น
กลุ่มราษฎรได้พลิกเอาสถานการณ์ดังกล่าวมาใช้เป็นตัวอย่าง ตอกย้ำให้สังคมเห็นความจำเป็นในการเปลี่ยนแปลง
ตอกย้ำที่มาที่ไปของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันที่เริ่มต้นจากคณะรัฐประหาร
ก่อตัวขึ้นเป็นรัฐธรรมนูญที่ “ดีไซน์มาเพื่อพวกเรา” ผลักดันให้ พล.อ.ประยุทธ์ ได้เป็นนายกรัฐมนตรีจนถึงปัจจุบัน
เขี่ยทิ้งกลุ่มเห็นต่าง สร้างความกำกวมเพื่อใช้การตีความเป็นอาวุธ และอื่นๆ อีกหลายประการ
ทุกอย่างล้วนแล้วผ่านกาลเวลามาตั้งแต่ปี 2557
ทุกอย่างมีตัวอย่างที่ซ้ำแล้วซ้ำอีก
ตัวอย่างที่เพียงพอสำหรับนำมาเป็นหลักฐานฟ้องต่อสังคม
ต้องยอมรับว่า นับตั้งแต่มีการรัฐประหารมาจนถึงปัจจุบัน ฝ่ายรัฐบาลมีวิธีปฏิบัติในการต่อกรกับกลุ่มเห็นต่างที่ไม่แตกต่าง
การทำซ้ำหลายครั้งหลายคราว จึงเป็นการตอกย้ำให้สังคมได้เรียนรู้
ผลจากการเรียนรู้ทำให้มองเห็นต้นเหตุของปัญหาได้ชัดแจ้งขึ้นเรื่อยๆ
เฉกเช่นปัญหาที่เกิดขึ้นมาจากตัวบทของรัฐธรรมนูญปี 2560
รัฐธรรมนูญที่ฝ่ายรัฐบาลเรียกว่า “กฎหมาย” แต่ฝ่ายไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลไม่เห็นด้วย
ความเห็นด้วยกับไม่เห็นด้วย นำไปสู่การยอมรับหรือไม่ยอมรับในกฎหมายสูงสุดของประเทศ
ด้วยเหตุนี้ การแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อยกร่างฉบับใหม่ให้เป็นที่ยอมรับจึงสำคัญ
การเลือกตั้ง ส.ส.ร. ตามข้อเสนอของพรรคร่วมรัฐบาล และพรรคร่วมฝ่ายค้าน จึงสำคัญ
ยิ่งรัฐบาลเรียกร้องให้ทุกฝ่ายปฏิบัติตามกฎหมาย
ยิ่งเจ้าหน้าที่ปฏิบัติตามกฎหมายภายใต้รัฐธรรมนูญปี 2560
ยิ่งทำให้การยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ มีความสำคัญขึ้นเรื่อยๆ