ไทย-อินเดีย หนุน”มินิ เอฟทีเอ”เจาะตลาดเมือง “จุรินทร์ “ขอมติครม.ต้นปี64 นำร่องรัฐเตลังคานา

ที่กระทรวงพาณิชย์ ในวันที่ 17 ธันวาคม นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ พร้อมกับนายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ นางมัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายสมเด็จ สุสมบูรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ผู้บริหารกระทรวงพาณิชย์ ประชุมหารือกับ 3 ภาคเอกชนด้านการค้าไทยและอินเดีย ประกอบด้วย หอการค้าอินเดีย-ไทย สมาคมธุรกิจอินเดีย-ไทย 3.สภาธุรกิจไทย-อินเดีย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย

นายจุรินทร์ กล่าวภายหลังการประชุมว่า ไทยให้ความสำคัญกับตลาดอินเดียเป็นพิเศษ เพราะอินเดียมีขนาดใหญ่ทั้งประชากรกว่า 1,300 ล้านคนและขนาดเศรษฐกิจลำดับ 5 ของโลก และเป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของไทยในภูมิภาคเอเชียใต้ ที่ผ่านมากระทรวงพาณิชย์นำภาคเอกชนเดินทางไปเยือนและเจรจาการค้ากับอินเดียแล้ว 2 ครั้ง ซึ่งสามารถลงนามเอ็มโอยูซื้อขายสินค้าระหว่าวกันรวม 10,137 ล้านบาท และทำการส่งมอบแล้ว 5,948 ล้านบาท หรือ 60% ส่วนที่เหลือติดเรื่องโควิด-19 ที่เป็นอุปสรรคต่อการส่งออก ซึ่งในการหารือครั้งนี้ เห็นพ้องเพิ่มการค้าเชิงลึกระหว่างกันมากขึ้น โดยเฉพาะการทำข้อตกลงทางการค้าซึ่งเดิมนั้นมีเอฟทีเอ ไทย-อินเดียและเอฟทีเออาเซียน-อินเดียแล้ว แต่ตนได้เพิ่มนโยบายให้กระทรวงพาณิชย์ร่วมกับภาคเอกชนเพิ่มจัดทำมินิเอฟทีเอระหว่างกระทรวงพาณิชย์ กับ รัฐหรือมณฑลของประเทศต่างๆที่จะช่วยให้ได้รับสิทธิประโยชน์ทางการค้าเชิงลึกระหว่างไทยกับแต่ละรัฐแต่ละมณฑลได้มากขึ้น

” ทุกฝ่ายเห็นพ้องทำมินิเอฟทีเอไทยกับอินเดีย จากนี้จะดำเนินการยกร่างสำหรับการทำมินิเอฟทีเอระหว่างกระทรวงพาณิชย์หรือไทยกับรัฐเตลังคานาของอินเดีย โดยผมจะนำเรื่องนี้เสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ความเห็นชอบ เพื่อจัดการลงนามระหว่างกระทรวงพาณิชย์ของไทยกับกระทรวงอุตสาหกรรมของ รัฐเตลังคานาของอินเดีย เบื้องต้นต้นเดือนมกราคม 2564 ซึ่งจะเป็นการประชุมระบบทางไกล ซึ่งผมสั่งการให้เตรียมการสำหรับรัฐอื่นด้วย เป้าหมาย คือ รัฐคุชราต กรณาฏกะ รัฐมหาราษฏระ เคเรล่า และ รัฐ 8 สาวน้อยหรือรัฐอัสสัม ซึ่งหลังสถานการณ์โควิด-19 ยุติลง ผมจะนำภาคเอกชนเดินทางไปทำขายสินค้า ในฐานะหัวหน้าเซลล์แมนประเทศ เพื่อเปิดตลาดอินเดีย เพื่อเพิ่มมูลค่าการค้าระหว่างไทยกับอินเดีย และเพิ่มการอำนวยความสะดวกทางการค้า ” นายจุรินทร์ กล่าว

นายจุรินทร์ กล่าวว่า สำหรับปัญหาอุปสรรคของฝ่ายไทย เช่น เรื่องพิกัดศุลกากรยังไม่ตรงกันระหว่างไทยกับอินเดีย กระทรวงพาณิชย์โดยกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศจะเข้าไปหารือในการประชุมระหว่างอาเซียนกับอินเดียต่อไป และเรื่องการดำเนินการเวลาไทยส่งสินค้าเข้าไปในอินเดียปรากฏว่าทางศุลกากรอินเดีย ยังต้องการรายละเอียดให้ผู้ส่งออกไทยตอบคำถามหลายข้อที่เป็นความลับทางการค้า ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ได้หยิบยกมาที่ประชุมเจทีซี ไทย-อินเดีย ปลายปี2562 และอยู่ระหว่าางนัดการพูดคุยกันต่อไป ซึ่งอินเดียกับไทยได้จัดสัมมนาออนไลน์ทำความเข้าใจในทางปฏิบัติเรื่องนี้แล้ว เพื่อให้การส่งสินค้าสะดวกคล่องตัวขึ้นและปัญหาอุปสรรคในเรื่องที่ผู้ประกอบการไทยนำสินค้าเข้ามาจากอินเดียโดยศุลกากรของไทยไปขอเอกสารย้อนหลัง ทั้งที่นำเข้ามาแล้วขายไปแล้ว 4-5 ปี จะต้องมาแจ้งเอกสารย้อนหลังกระทรวงพาณิชย์รับที่จะไปคุยกับกรมศุลกากรต่อไป เพื่อไม่ให้เป็นปัญหาอุปสรรคโดยไม่จำเป็น

Advertisement

สำหรับการค้ารวมระหว่างไทยและอินเดีย ปี 2562 มีมูลค่า 12,147.68 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นสัดส่วน 2.52% ของมูลค่าการค้าทั้งหมดของไทย ไทยเป็นฝ่ายเกินดุลการค้า 2,532.94 ล้านเหรียญสหรัฐ โดย 10 เดือนแรกปี 2563 มีการค้ารวม 7,871.53 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 24.41%จากช่วงเดียวกันปีก่อน และไทยเกินดุลการค้า 909.55 ล้านเหรียญสหรัฐ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image