ในที่สุดพรรคฝ่ายค้านก็มีมติจะอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล
พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย เป็นคนเปิดเผยเบื้องต้นว่า พรรคร่วมฝ่ายค้านตกลงกันแล้วว่าจะอภิปรายไม่ไว้วางใจเป็นรายบุคคล
จะดำเนินการให้ได้ภายในกลางเดือนกุมภาพันธ์
ขณะที่ นายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ยืนยันอีกครั้งว่า จะยื่นญัตติเพื่อเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจในวันที่ 25 มกราคม เวลา 10.00 น. ที่รัฐสภา
คาดว่าประธานสภาใช้เวลาตรวจสอบญัตติประมาณไม่เกิน 7 วัน จากนั้นส่งให้รัฐบาล เพื่อตอบกลับมา
ด้าน นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา หัวหน้าพรรคประชาชาติ และ นายชัยธวัช ตุลาธร เลขาธิการพรรคก้าวไกล ก็ออกมายืนยัน
โดย นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา เห็นว่า ถ้าอภิปรายไม่ไว้วางใจในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ ได้จะดีมาก
ส่วน นายชัยธวัช เห็นว่า เมื่อพรรคร่วมฝ่ายค้านยื่นญัตติในวันที่ 25 มกราคม ก็ไม่มีเหตุผลใดที่จะบรรจุญัตติเกินสัปดาห์ที่ 3 ของเดือนกุมภาพันธ์
พรรคร่วมฝ่ายค้านคำนวณเวลาแล้ว มั่นใจว่าการอภิปรายไม่ไว้วางใจน่าเกิดขึ้นได้ภายในสมัยการประชุมนี้
นั่นคือไม่เกินเดือนกุมภาพันธ์
การอภิปรายไม้ไว้วางใจครั้งนี้มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งก่อนๆ
แม้ว่าบทสรุปของการอภิปรายไม่ไว้วางใจนั้น เดาได้ว่ารัฐบาลจะเป็นฝ่ายชนะเสียงในสภา
แต่เนื้อหาของการอภิปรายไม่ไว้วางใจ สามารถให้คุณและโทษแก่บุคคลที่เกี่ยวข้อง
ทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
ทั้งคณะรัฐมนตรี
ทั้งพรรคร่วมรัฐบาลที่นำโดยพรรคพลังประชารัฐ
และพรรคร่วมฝ่ายค้านที่ทำหน้าที่อภิปรายไม่ไว้วางใจ
รวมไปถึง ส.ส.ผู้ทำหน้าที่อภิปรายไม่ไว้วางใจด้วย
ย้อนกลับไปเมื่อการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งที่แล้ว เสียงสะท้อนจากการทำหน้าที่ดังกล่าวยังคงปรากฏเด่นอยู่ในความทรงจำ
วันแรกของการอภิปรายไม่ไว้วางใจ พรรคร่วมฝ่ายค้านเพลี่ยงพล้ำ เมื่อบรรยากาศของการอภิปรายไม่ไว้วางใจเหมือนกับการเปิดทางให้รัฐบาลแถลงผลงาน
วันต่อๆ มาพรรคร่วมฝ่ายค้านพยายามเพิ่มความหนักแน่นของเนื้อหา เกิดเป็นประเด็นเด่นชัดในเรื่อง ปฏิบัติการไอโอ ที่มีเป้าหมายทางการเมือง
กลายเป็นประเด็นการเมืองที่มีการขยายผลกันต่อมา และกลายเป็นข้อครหาที่ฝ่ายรัฐบาลและกองทัพต้องปรับปรุง
แต่สุดท้ายเมื่อการบริหารจัดการของพรรคร่วมฝ่ายค้านมีปัญหา ทำให้การอภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี กระทำไม่ได้เนื่องจากเวลาไม่เพียงพอ
ก่อเกิดกระแสตีกลับ พรรคเพื่อไทยกลายเป็นเป้าโจมตี พรรคร่วมฝ่ายค้านเพลี่ยงพล้ำอีกครั้ง
กระแสเรื่อง “ข้อสอบรั่ว” ประเด็น “ฮั้ว” และอื่นๆ ได้ทิ่มแทงเข้าใส่พรรคร่วมฝ่ายค้านแทนรัฐบาล
มีผลต่อความศรัทธาในการอภิปรายของพรรคฝ่ายค้าน
การอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้อาจจะเรียกได้ว่าเป็นการ “แก้มือ” ของพรรคร่วมฝ่ายค้าน
หรืออาจจะมองได้ว่าเป็น “โอกาส” ของพรรคร่วมฝ่ายค้าน
ทั้งนี้ เพราะจุดแข็งของรัฐบาลที่สุดคือการควบคุมโรคโควิด-19 ระบาดกำลังกลายเป็นคำถาม
การระบาดรอบใหม่ที่มีต้นเหตุมาจากธุรกิจผิดกฎหมาย ทั้งการลักลอบนำแรงงานต่างชาติ ทั้งการเปิดบ่อนการพนัน ที่กลายเป็นแหล่งระบาด กลายเป็นคำถามต่อการบริหารจัดการ
ยิ่งเมื่อสาวลึกลงไปถึงตัวบุคคล กลับพบมีความเชื่อมโยงเกี่ยวข้องกับนักการเมือง
มีบางส่วนที่น่าสงสัยว่าจะเกี่ยวข้องกับรัฐบาล
ดังนั้น แม้รัฐบาลจะเร่งดำเนินการกับการระบาดรอบใหม่โดยใช้เวลาจนถึงบัดนี้ สถิติการระบาดไม่รุนแรงบานปลาย
แต่ผลกระทบจากการระบาดที่ผ่านมาก็ทำให้เศรษฐกิจติดหล่ม
แผนการกระตุ้นเศรษฐกิจที่น่าจะเดินหน้าได้ตั้งแต่ต้นปี 2564 กลับต้องร้องเพลงรอ
รอดูสถานการณ์การระบาดรอบใหม่ ควบคู่ไปกับการเดินไปข้างหน้า
งบประมาณอีกจำนวนมากต้องใช้ไปเพื่อการเยียวยา
เบื้องต้น พล.อ.ประยุทธ์ ยืนยันว่ามีประมาณ 6 แสนล้านบาท
ดังนั้น แค่ประเด็นการระบาดรอบใหม่ของโรคโควิด-19 ที่แพร่กระจายเพราะธุรกิจมืดผิดกฎหมาย เมื่อมาโยงกับความรับผิดชอบของ พล.อ.ประยุทธ์
ทั้งในฐานะผู้นำรัฐบาล ในฐานะนายกรัฐมนตรี เป็นผู้นำทหาร ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นผู้นำตำรวจในฐานะประธานคณะกรรมการตำรวจ
ทุกหน่วยงานที่ต้องรับผิดชอบต่อการปราบปรามธุรกิจผิดกฎหมายต่างขึ้นอยู่กับนายกฯ
เมื่อสถานการณ์ระบาดเกิดขึ้น การยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ จึงไม่ใช่เรื่องแปลก
เช่นเดียวกับรัฐมนตรีคนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น พล.อ.ประวิตร พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
และรัฐมนตรีคนอื่นๆ ที่ปรากฏชื่อออกมาเป็นระยะๆ
ทุกคนต่างมีโอกาสต้องชี้แจงในญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ
ในจังหวะเวลาที่รัฐบาลเพลี่ยงพล้ำ สังคมมีคำถามมากมายต่อรัฐบาล พรรคร่วมฝ่ายค้านจึงต้องทำหน้าที่ตัวแทนของประชาชนในการอภิปราย
การทำหน้าที่ของ ส.ส. ผู้อภิปราย ข้อมูลหลักฐาน การอธิบายให้ประชาชนเข้าใจ และชี้ให้เห็น “ความไม่น่าไว้วางใจ” ของรัฐบาล ถือเป็นหน้าที่ของพรรคร่วมฝ่ายค้าน
เช่นเดียวกับการประสานงานระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกัน การบริหารจัดการของพรรคร่วมฝ่ายค้าน เพื่อมิให้เกิดจุดโหว่ซ้ำเหมือนการอภิปรายไม่ไว้วางใจเมื่อปีก่อน
การอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้จึงมีความสำคัญ
สำคัญต่อรัฐบาล สำคัญต่อพรรคร่วมฝ่ายค้าน
และที่สำคัญที่สุด คือ เนื้อหาข้อมูลในการนำเสนอและชี้แจงในสภา จะเป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติ
ดังนั้น ทั้งรัฐบาล พรรคร่วมรัฐบาล พรรคร่วมฝ่ายค้าน ต้องให้ความสำคัญต่อการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้
เพราะการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้มีผลกระทบต่อตัวเอง