พณ.ชี้นโยบาย”ไบเดน”ส่งผลดีกว่าเสีย ส่งออกสหรัฐโอกาสโต4%

นายสมเด็จ สุสมบูรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กรมได้ติดตามนโยบายด้านการค้าของนายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่ ถึงผลกระทบต่อการค้าระหว่างประเทศของไทย พบว่า สหรัฐฯมีนโยบายลดการพึ่งพาต่างชาติด้วยการสร้างความเข้มแข็งอุตสาหกรรมการผลิตในประเทศ เช่น เวชภัณฑ์ สินค้าเทคโนโลยีขั้นสูง การย้ายฐานการผลิตคืนสู่สหรัฐฯ เพื่อสนับสนุนนโยบาย Buy America และจะลดความตึงเครียดจากสงครามการค้าด้วยการใช้วิถีทางของกฎหมายทางการค้า แต่ยังไม่เปิดเจรจาการค้าใดๆ รวมทั้งจะยกเลิกนโยบายโดดเดี่ยวหันมาสร้างพันธมิตร ให้ความสำคัญกับการต่อสู้โลกร้อน และผ่อนคลายเรื่องแรงงานต่างชาติ เป็นต้น

นายสมเด็จ กล่าวต่อว่า กรณีของจีนจะไม่ยกเลิกมาตรการต่างๆ ของประธานาธิบดีทรัมป์ โดยทันที แต่อาจดำเนินการในลักษณะค่อยเป็นค่อยไป และมีแนวโน้มต่อนโยบายเรื่องการเข้มงวดกับการขายสินค้าเทคโนโลยี และเซมิคอนดักเตอร์ให้แก่จีน และการจำกัดการนำเข้าสินค้าเทคโนโลยีชั้นสูงจากจีน ส่วนสหภาพยุโรป (อียู) นายไบเดนไม่มีนโยบายทำสงครามการค้า เน้นการฟื้นฟูมิตรภาพ แต่ยังต้องแก้ปัญหาความไม่สมดุลการค้าสินค้าเกษตร ในส่วนที่เกี่ยวกับ เม็กซิโกและแคนาดา เห็นว่า สนธิสัญญา USMCA (United States-Mexico-Canada) เป็นข้อตกลงที่ดีกว่า NAFTA (North American Free Trade Agreement) ในด้านสิ่งแวดล้อม ขณะที่เอเชียยังไม่แสดงความเห็นการเข้าร่วม RCEP(ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค หรือ อาเซียนกับ 6 ประเทศคู่ค้า) และ CPTPP (หุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก ) แต่นโยบายจะให้ความสำคัญกับเอเชียมากขึ้น รวมถึงมีความตั้งใจที่จะฟื้นฟูความสัมพันธ์และร่วมมือกับ WTO(องค์การการค้าโลก) มากขึ้น

นายสมเด็จ กล่าวว่า สำหรับผลกระทบต่อไทย พบว่า นโยบายของนายไบเดน น่าจะส่งผลดีทำให้ความสัมพันธ์ของสหรัฐฯกับกลุ่มประเทศเอเชียดีขึ้น สร้างโอกาสเพิ่มความร่วมมือทางการค้าการลงทุนของธุรกิจสหรัฐฯในไทย และช่วยเพิ่มโอกาสให้ไทยเข้าไปลงทุนในสหรัฐฯ โดยเฉพาะสินค้าที่มีมาตรการทางการค้าสูง หรือไทยมีขีดความสามารถในการแข่งขันลดลง โดยใช้สหรัฐฯเป็นฐานการผลิต และยังได้รับผลดีจากการที่สหรัฐฯ ไม่ยกเลิกภาษีนำเข้าจากจีนในทันที ทำให้ไทยยังสามารถใช้ประโยชน์ส่งออกที่ไปทดแทนสินค้าจากจีนได้

นายสมเด็จ กล่าวว่า คงจะต้องระวังผลกระทบจากกรณีที่สหรัฐฯ จะพึ่งพาการผลิตในประเทศมากขึ้น ทำให้มีการใช้มาตรการที่ไม่ใช่ภาษี (NTMs) เพิ่มขึ้น สินค้ากลุ่มยานยนต์และชิ้นส่วน จะได้รับผลกระทบจากนโยบายเรื่องสิ่งแวดล้อมและรถยนต์ไฟฟ้า และยังให้ความสำคัญเรื่องการผลิตที่จะต้องเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รวมทั้งต้องระวังเรื่องการย้ายฐานการผลิตมาไทยจะลดลง หลังจากสงครามการค้าชะลอตัว นอกจากนี้ ยังต้องจับตาดูนโยบายด้านการเงินการคลังของสหรัฐฯ ที่จะมีผลต่อค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ อาจจะส่งผลต่อค่าเงินบาทในอนาคต

Advertisement

นายสมเด็จ กล่าวว่า กรมจะยังเดินหน้าขยายตลาดส่งออกในสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่องต่อไป เพราะเป็นตลาดหลักที่สำคัญ โดยปี 2564 ตั้งเป้าขยายตัว 4% โดยสินค้าที่มีศักยภาพ คือ อาหารสำเร็จรูป อาหารเสริม สินค้าที่เกี่ยวกับการทำงานที่บ้าน เช่น เฟอร์นิเจอร์ ของแต่งบ้าน วัสดุแต่งสวน สินค้าสัตว์เลี้ยง เครื่องใช้ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ อุปกรณ์ออกกำลังกาย เกมส์และความบันเทิงภายในบ้าน และสินค้าป้องกันส่วนบุคคล เช่น ผลิตภัณฑ์ PPE เป็นต้น ที่จะมีความต้องการจนกว่าโควิด-19 จะคลี่คลาย

นายสมเด็จ กล่าวต่อว่า กิจกรรมส่งเสริมการส่งออกในตลาดสหรัฐฯ จะให้ความสำคัญกับการผลักดันสินค้าและบริการที่มีศักยภาพของไทย อาทิ สินค้าเกษตรและเกษตรแปรรูป เน้นจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย และโปรโมตผ่านโซเชียลมีเดีย ธุรกิจเอนเตอร์เทนเมนต์และสตาร์ตอัพ ร่วมกิจกรรมงานแสดงสินค้าแบบออนไลน์ รวมถึง กลุ่มสินค้าเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้าน อุปกรณ์เครื่องใช้ทางการแพทย์ (PPE) เครื่องใช้ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ อัญมณีและเครื่องประดับ เป็นต้น นอกจากนี้จะเพิ่มร่วมมือกับห้างสรรพสินค้าออนไลน์ และประชาสัมพันธ์ตรา Thai Select โดยขอชวนเอกชนติดตามกิจกรรมผ่านเว็บไซต์ ThaiTradeUSA.com

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image