พาณิชย์ แจง4นโยบายหลัก”ไบเดน” การค้าไทยได้หรือเสีย ใน100วันภาพชัดขึ้น

น.ส.พิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า(สนค.) กระทรวงพาณิชย์ กล่าวถึงแผนงานของคณะบริหารของนายโจ ไบเดน ประธานาธิบดี ตามที่มีการเผยแพร่บันทึก (Memo) เมื่อวันที่ 17 มกราคมที่ผ่านมา ซึ่งนายไบเดน เน้น 4 ประเด็น ได้แก่ 1. วิกฤตการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 2. วิกฤตเศรษฐกิจ 3.วิกฤตสิ่งแวดล้อม และ 4. วิกฤตด้านความเท่าเทียมทางชาติพันธุ์ โดยจะผลักดันนโยบายช่วง 100 วันแรก เพื่อแก้ไขความเสียหายร้ายแรงในปัจจุบัน ควบคู่กับการขับเคลื่อนสหรัฐฯ ไปข้างหน้าอย่างเร่งด่วน นั้น กระทรวงพาณิชย์ จะติดตามใกล้ชิดช่วง 100 วันแรก ที่นายไบเดนจะเร่ง ทั้งใช้อำนาจฝ่ายบริหารออกคำสั่งประธานาธิบดี ออกเอกสารบันทึกความเข้าใจประธานาธิบดี และคำสั่งไปยังคณะรัฐมนตรี เพื่อเร่งการทำงาน
ทั้งนี้ พบว่า ภายหลังการเข้าดำรงตำแหน่งอย่างเป็นทางการเพียง 2 วัน นายไบเดนได้ลงนามคำสั่งพิเศษมากกว่า 20 ฉบับ ได้แก่ ประเด็นวิกฤตการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 อาทิ การใช้มาตรการบังคับให้สวมหน้ากากอนามัยในพื้นที่หน่วยงานภาครัฐและระหว่างการเดินทางข้ามรัฐ การเร่งการผลิตวัคซีนต้านโควิด-19 และการยุติกระบวนการถอนตัวจากการเป็นสมาชิกองค์การอนามัยโลก ประเด็นวิกฤตสิ่งแวดล้อม อาทิ การกลับเข้าเป็นภาคีของความตกลงปารีส และประเด็นวิกฤตความเท่าเทียมทางชาติพันธุ์ อาทิ การยกเลิกนโยบายปิดกั้นผู้อพยพจากประเทศมุสลิมบางประเทศ

ขณะที่ประเด็นวิกฤตเศรษฐกิจ นายไบเดน ได้ลงนามคำสั่งพิเศษขยายเวลาการชำระเงินกู้เพื่อการศึกษาพร้อมทั้งดอกเบี้ย อีกทั้ง เร่งผลักดันแผนงบประมาณการเยียวยาจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 มูลค่า 1.9 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ภายในสัปดาห์นี้ ก่อนเข้าสู่การลงนามคำสั่งประธานาธิบดีเพื่อเร่งขับเคลื่อนแนวทาง Buy American (เพิ่มการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ในสินค้าและบริการภายในประเทศ) ในสัปดาห์หน้าต่อไป

น.ส.พิมพ์ชนก กล่าวว่า นโยบายทั้ง 4 ด้านสะท้อนให้เห็นการดำเนินงานที่สอดคล้องกับนโยบายในช่วงหาเสียงของนายไบเดน ที่ระบุว่าการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 เป็นภารกิจอันดับแรก พร้อมกับการฟื้นฟูเศรษฐกิจภายในประเทศ นอกจากนี้ การกลับเข้าเป็นสมาชิกความตกลงปารีส และยกเลิกการห้ามเดินทางเข้าสหรัฐฯ ของประชาชนจากประเทศมุสลิมบางประเทศ เป็นการยกเลิกนโยบายในสมัยนายโดนัล ทรัมป์ และสร้างความมีเสถียรภาพทางสังคมและการปรองดอง ซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญของแผนงานอีกประการหนึ่ง และสะท้อนว่า ทิศทางการดำเนินนโยบายต่างประเทศของนายไบเดน จะกลับมาให้ความสำคัญกับกฎกติกาสากล และ มีแนวโน้มสร้างความร่วมมือผ่านองค์กรหรือข้อตกลงระหว่างประเทศมากขึ้น

น.ส.พิมพ์ชนก กล่าวต่อว่า ในแง่ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการค้าไทย นั้น มาตรการเยียวยาและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐฯ การอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ จะมีส่วนช่วยให้เศรษฐกิจและการจ้างงานของสหรัฐฯ โดยเฉพาะการฟื้นตัวของกลุ่มชนชั้นกลาง ที่เป็นกำลังซื้อหลักของประเทศ จะสนับสนุนให้สหรัฐฯ ฟื้นตัวได้ดีต่อเนื่อง ซึ่งธนาคารโลกประเมินว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯปี 2564 จะขยายตัว3.5% ซึ่งจะส่งผลดีต่อกำลังการซื้อของชาวอเมริกัน รวมถึงเศรษฐกิจโลกและการซื้อสินค้าจากไทย ด้วยสหรัฐฯเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่สุดในโลกและเป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 ของไทย ซึ่งปี 2563 ไทยสามารถส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯเพิ่มขึ้น9.55% แม้เผชิญความท้าทายจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยส่วนใหญ่เป็นสินค้าอุปโภคบริโภคปลายน้ำ อาทิ อุปกรณ์คอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์ยาง อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป อุปกรณ์กึ่งตัวนำ ทรานซิสเตอร์ และไดโอด พร้อมกับสร้างโอกาสสินค้าศักยภาพกลุ่มที่เกี่ยวเนื่องกับการป้องกันโรค ผลิตภัณฑ์การแพทย์ (ถุงมือยาง ชุดป้องกันเชื้อ ) อาหารทุกประเภท สินค้าที่เป็นกลุ่มใช้ในบ้าน เช่น สินค้าไลฟ์สไตล์ เฟอร์นิเจอร์ ของตกแต่งบ้าน

Advertisement

น.ส.พิมพ์ชนก กล่าวว่า การขับเคลื่อนนโยบายตามแนวทางBuy Americanของนายไบเดน กำหนดให้ภาครัฐเพิ่มการจัดซื้อจัดจ้างสินค้าและบริการภายในประเทศเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการใช้สินค้าเหล็ก อลูมิเนียม และวัตถุดิบภายใต้โครงการรัฐ อาจสร้างแรงกดดันต่อการส่งออกสินค้าประเภทดังกล่าวจากไทยไปสหรัฐฯ เช่น สินค้าเหล็ก เหล็กกล้า และผลิตภัณฑ์ สินค้าผลิตภัณฑ์อลูมิเนียม รวมถึงการกลับเข้าเป็นภาคีความตกลงปารีสเป้าหมายเพื่อกำหนดมาตรการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ จะสร้างแรงกดดันต่อสินค้ากระทบต่อสิ่งแวดล้อมและอาจส่งผลต่อการส่งออกรถยนต์สันดาปภายในของไทย ปัจจุบันสหรัฐฯเป็นตลาดส่งออกกลุ่มนี้ กว่า 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ และมีสัดส่วน 4.89 %ของการส่งออกสินค้ารถยนต์ อีกทั้งกระตุ้นให้ภาคเอกชนสหรัฐฯตื่นตัวกับแนวโน้มรักษ์โลกและพลังสะอาดและกำหนดเงื่อนไข/มาตรฐานของสินค้าที่เข้มงวดมากขึ้น เช่น ต้องเพิ่มติดฉลากบ่งชี้ระดับการปล่อยคาร์บอน เป็นต้น ที่อาจกระทบต่อเอสเอ็มอีที่ปรับไม่ได้ทัน

น.ส. พิมพ์ชนก กล่าวต่อว่า หากสหรัฐฯ ยึดกฎกติกาสากลและกลไกพหุภาคีมากขึ้น น่าจะช่วยลดความผันผวนหรือเหตุการณ์ไม่คาดฝันต่อเศรษฐกิจการค้าโลกซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการค้าไทย นอกจากนี้ นโยบายการสร้างความร่วมมือและพันธมิตรทางการค้า จะเปิดโอกาสการเจรจาให้ไทยขยายการค้าเพิ่มเติมกับสหรัฐฯ และคู่ค้าอื่นๆ ที่มีศักยภาพ อย่างไรก็ดี ไทยต้องเตรียมความพร้อมประเด็นที่นายไบเดน ให้ความสำคัญ ซึ่งคาดว่าจะถูกหยิบยกมาเป็นเงื่อนไขการเจรจาการค้าในอนาคต เพื่อลดประเด็นปัญหาและสร้างบรรยากาศการสร้างความสัมพันธ์ทางการค้าที่ดีระหว่างกัน เช่น ประเด็นสิ่งแวดล้อม สิทธิมนุษยชนและแรงงาน รวมถึงการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญา เช่นเดียวกับมาตรการอื่นๆ ที่สหรัฐฯ ใช้ติดตามพฤติกรรมการค้าที่ไม่เป็นธรรม เช่น การติดตามนโยบายค่าเงินของประเทศคู่ค้า การบิดเบือนค่าเงิน อาจใช้เป็นเหตุผลในการออกมาตรการอื่นๆ เช่น มาตรการภายใต้มาตรา 301 และการขึ้นภาษีตอบโต้การอุดหนุน (CVD) ต่อประเทศคู่ค้าที่แทรกแซงอัตราแลกเปลี่ยนให้ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง
” กระทรวงพาณิชย์จะติดตามความเคลื่อนไหวของนโยบายอย่างใกล้ชิดต่อไป และพร้อมเดินหน้าทำงานร่วมกับภาคเอกชนเพื่ออำนวยความสะดวก ส่งเสริมและแก้ไขอุปสรรคทางการค้าที่อาจเกิดขึ้น ผ่านกลไกคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนด้านการพาณิชย์ (กรอ.พาณิชย์) และผลักดันการส่งออกของไทยต่อไป ” น.ส.พิมพ์ชนก กล่าว

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image