นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยถึงแนวคิดจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม(แวต)และภาษีเงินได้นิติบุคคลบริษัทต่างชาติ ที่เข้ามาหารายได้ในประเทศ โดยไม่ได้เข้ามาตั้งสำนักงานหรือออฟฟิตในไทย ว่า ยังติดเงื่อนไขของการเป็นประเทศสมาชิกสนธิสัญญาภาษีซ้อน ที่ระบุให้นิติบุคคลเสียภาษีให้เพียงประเทศเดียว ที่นิติบุคคล นั้น เข้าตั้งออฟฟิตหรือสำนักงาน ประกอบกับปัจจุบันเทคโนโลยีทำให้เกิดการทำธุรกิจแบบข้ามพรมแดนได้ โดยไม่ต้องเข้าไปตั้งสำนักงานในประเทศนั้นๆ เป็นประเด็นที่ทำให้หลายประเทศอยู่ระหว่างการหาแนวทางออกร่วมกัน โดยมีองค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (Organization for Economic Cooperation and Development ) หรือ OECD เป็นคนกลาง แม้ที่ผ่านมา มีบางประเทศออกกฎหมายดิจิทัลเซอร์วิส เพื่อจัดเก็บภาษีจากยอดขายของนิติบุคคลต่างชาติแล้วก็ตาม แต่ทางปฏิบัติยังไม่สามารถทำได้ เพราะติดประเด็นบางประเทศใช้มาตรการอื่น มากดดัน เพื่อไม่ให้บังคับใช้กฎหมายดังกล่าวได้
นายเอกนิติ กล่าวต่อว่า ส่วนความคืบหน้าการบังคับใช้กฎหมายอีเซอร์วิส กำหนดบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2564 ว่า ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการออกกฎหมายลูก ระดับกฎกระทรวงและประกาศอธิบดี เพื่อวางแนวทางปฏิบัติ อาทิ การออกหมายเรียกทางอิเล็กทรอนิกส์ ทำรายละเอียดการจดทะเบียนและการชำระภาษี เป็นต้น ล่าสุดกรมได้เชิญผู้ประกอบการ อาทิ เฟซบุ๊ก แอปเปิ้ล ไลน์ มาหารือเพื่อวางแนวทางปฏิบัติร่วมกัน จากนั้นจะหารือกกับสถานฑูตและหอการค้าต่างประเทศ เพื่อสร้างความเข้าใจร่วมกันอีกครั้ง
นาย เอกนิติ กล่าวว่า ส่วนกรณีความกังวลว่าผู้ประกอบการจะผลักภาระไปให้ผู้บริโภค นั้น ขึ้นอยู่กับธุรกิจและการแข่งขันในตลาด ซึ่งกรมไม่สามารถเข้าไปบังคับได้ พร้อมยืนยันกฎหมายฉบับนี้มีเพื่อสร้างความเป็นธรรมในการเสียภาษี ระหว่างผู้ประกอบการไทยกับผู้ประกอบจากการต่างประเทศ สำหรับกฎหมายดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ในผู้ประกอบการที่ให้บริการอีเซอร์วิสจากต่างประเทศ ได้แก่ การให้บริการดาวน์โหลด หนัง ภาพยนตร์ เพลง เกม สติกเกอร์ นายหน้า สื่อโฆษณา แพลตฟอร์มต่างประเทศที่ให้บริการในประเทศไทย เช่น แอปเปิ้ล เฟสบุ๊ก ยูทูป ไลน์ และมีรายได้จากการให้บริการเกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี โดยต้องจดทะเบียนเป็นผู้ประกอบการภาษีมูลค่าเพิ่ม มีหน้าที่ยื่นแบบและนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม ให้กับกรมสรรพากร เช่นเดียวกับผู้ประกอบการในประเทศ กรมคาดว่าจากกฎหมายฉบับนี้จะจัดเก็บภาษีมูลค่าได้เพิ่มขึ้นปีละ 5,000 ล้านบาท
