ผอ.สถาบันวัคซีน เผย วัคซีนแอสตร้าฯ 117,600 โดส เป็นล็อตเดียวกันกับที่ผลิตในไทย

ผอ.สถาบันวัคซีน เผย วัคซีนแอสตร้าฯ 117,600 โดส เป็นล็อตเดียวกันกับที่ผลิตในไทย

เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ นพ.นคร เปรมศรี ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ เปิดเผยว่า วัคซีนป้องกันโควิด-19 ที่ประเทศไทยจัดหาจากบริษัทแอสตร้าเซนเนก้าล็อตแรก มาถึงไทยในวันที่ 24 ก.พ. จำนวน 117,600 โดส ทั้งนี้ การส่งมอบวัคซีนเกิดขึ้นเร็วกว่ากำหนดการเดิมที่วางไว้ โดยกระทรวงสาธารณสุข(สธ.)และแอสตร้าเซนเนก้ามีจุดมุ่งหมายร่วมกันเพื่อเร่งบรรเทาสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกใหม่ และเพื่อให้ประเทศไทยฟื้นตัวจากวิกฤตโดยเร็ว

“กำหนดการเดิมในการส่งมอบวัคซีนของแอสตร้าฯ ให้กับ กรมควบคุมโรค จะเกิดขึ้นประมาณ มิ.ย. 2564 ซึ่งประเทศไทยจะได้รับวัคซีนที่ผลิตจากโรงงาน สยามไบโอไซเอนซ์ จำนวน 61 ล้านโดส โดยการทยอยส่งมอบ เพื่อให้ สธ. สามารถดำเนินการบริหารจัดการวัคซีนได้อย่างเหมาะสม ซึ่งการดำเนินการผลิตวัคซีนของสยามไบโอไซน์ยังคงเป็นไปตามแผนที่วางไว้ อย่างไรก็ตาม ด้วยสถานการณ์การระบาดระลอกใหม่ในประเทศ ทำให้ประเทศไทยมีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องใช้วัคซีนเพื่อเสริมกำลังให้กับบุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้า เจ้าหน้าที่ที่มีโอกาสสัมผัสผู้ป่วย และใช้เพื่อป้องกันการเกิดอาการป่วยที่รุนแรงและลดอัตราการเสียชีวิตของประชากรกลุ่มเสี่ยงในพื้นที่ที่มีการระบาดของโรคสูง” นพ.นคร กล่าว

นพ.นคร กล่าวว่า ด้วยความร่วมมือจากแอสตร้าฯ ทำให้ประเทศไทยสามารถเข้าถึงวัคซีนได้เร็วกว่ากำหนดเดิม โดยวัคซีนที่ส่งมอบดังกล่าว มาจากสายการผลิตในระดับโลกของบริษัท และเป็นไปตามพันธกิจในการสนับสนุนให้ประชาชนสามารถเข้าถึงวัคซีนโควิด-19 ได้อย่างเท่าเทียม

“วัคซีนของแอสตร้าฯ ล็อตที่มาถึงนี้ จะต้องผ่านการตรวจรับรองคุณภาพและผ่านการรับรองรุ่นการผลิต (Lot Release) จากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ก่อน จึงจะสามารถขนส่งและกระจายวัคซีนไปให้บริการกับประชาชนกลุ่มเป้าหมายระยะแรกตามแผน ที่กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขกำหนดไว้” นพ.นคร กล่าว

ADVERTISMENT

นพ.นคร กล่าวว่า วัคซีนโควิด-19 ของแอสตร้าฯ ได้รับการอนุมัติทะเบียนแบบมีเงื่อนไขเพื่อใช้ในกรณีฉุกเฉินเพื่อการสร้างภูมิคุ้มกันในประชากรอายุ 18 ปีขึ้นไป จากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) เรียบร้อยแล้ว เมื่อวันที่ 20 ม.ค. ที่ผ่านมา ถือเป็นวัคซีนโควิด-19 ชนิดแรก ที่ได้รับการอนุมัติทะเบียนแบบมีเงื่อนไขในประเทศไทย และยังได้รับอนุญาตให้ใช้ในกรณีฉุกเฉินในกว่า 50 ประเทศทั่วโลก ต่อมาเมื่อวันที่ 15 ก.พ. ได้รับการรับรอง Emergency Use Listing (EUL) จากการประเมินจะทำโดยผู้เชี่ยวชาญขององค์การอนามัยโลก ซึ่งเป็นขั้นตอนในการประเมินวัคซีนในภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขโดยมีเป้าหมายสูงสุดเพื่อให้สามารถใช้ผลิตภัณฑ์วัคซีนได้ในวงกว้าง เนื่องจากระบบควบคุมกำกับของบางประเทศอาจไม่มีความพร้อมและไม่มีมาตรฐานเพียงพอ จึงให้ใช้การอ้างอิงจาก EUL ได้ โดย นอกจากนี้ ภายหลังจากมีการใช้วัคซีนในวงกว้าง ยังไม่พบการรายงานเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ที่รุนแรงจากการใช้วัคซีนแอสตร้าฯ แต่อย่างใด

“อย่างไรก็ตาม แม้ข้อมูลการศึกษาในปัจจุบันจะแสดงให้เห็นว่าการฉีดวัคซีนโควิด สามารถลดอาการป่วยที่รุนแรงของผู้ติดเชื้อ แต่ยังไม่มีข้อมูลสนับสนุนที่บ่งชี้ว่าวัคซีนสามารถป้องกันการติดเชื้อและลดการแพร่กระจายของเชื้อได้ ดังนั้น แม้จะได้รับการฉีดวัคซีนแล้ว มาตรการสวมหน้ากาก เว้นระยะห่าง หมั่นล้างมือ ยังคงเป็นมาตรการสำคัญที่ต้องทำควบคู่ไปด้วย” นพ.นคร กล่าว