‘ทูตรัศม์’ ชี้นายกฯไทยโชว์เจ๋อ หารือ รมต.พม่า ส่วนอินโดฯโชว์เก๋า

เมื่อวันที่ 25 ก.พ. เพจ “ทูตนอกแถว The Alternative Ambassador” ของ นายรัศม์ ชาลีจันทร์ อดีตเอกอัครราชทูตไทยหลายประเทศ แสดงความเห็นกรณีข่าวรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของพม่า มาไทย โดยมีนายกรัฐมนตรีเข้าร่วมพูดคุย ต้อนรับ ก่อนมีการวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่าไทย ให้การต้อนรับผู้นำระดับสูงของคณะรัฐประหาร ผิดจากนานาชาติที่ร่วมกันออกแถลงการณ์กดดัน โดยระบุว่า

ไม่เขียนถึงคงไม่ได้ ก็เพิ่งรู้ว่าเดี๋ยวนี้นายกฯเขานั่งทำงานอยู่ที่สนามบิน 55

เรื่องการมาไทยของนายวันนะ หม่อง ลวิน รัฐมนตรีต่างประเทศพม่า เมื่อวานนี้มีอะไรให้น่าพูดถึงเยอะหลายแง่มุมทีเดียว โดยเฉพาะในมุมมองทางการทูตและการต่างประเทศ

ผมเคยให้สัมภาษณ์ไปแล้วว่า ปัจจุบันนับเป็นยุคแห่งความท้าทายใหม่ของอาเซียนที่จะก้าวเดินต่อไปอย่างเข้มแข็ง และเป็นพลังสำคัญในภูมิภาคนี้ได้อย่างไร แต่เดิมเมื่อก่อตั้งขึ้นมา เมื่อห้าสิบปีกว่านั้น สิ่งที่คุกคามประเทศสมาชิกคือ ภัยจากภายนอกเป็นหลัก แต่ทุกวันนี้สิ่งที่บั่นทอนอาเซียนกลับกลายตัวสมาชิกอาเซียนด้วยกันเสียเอง

Advertisement

สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ในแง่หนึ่งถือเป็นศักราชใหม่ของอาเซียนก็ว่าได้ ที่มีประเทศสมาชิกพยายามยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือแก้ไขปัญหาทางการเมืองภายในของอีกประเทศสมาชิกหนึ่ง ซึ่งแทบไม่เคยปรากฎมาก่อน เพราะการยึดถือหลักการไม่แทรกแซงกิจการภายในของกันและกันนั้นเป็นเสมือนกฎที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของอาเซียน

แต่ทุกวันนี้ปัญหาภายในของประเทศหนึ่ง มันก็กระทบไปทั้งองค์กรรวมด้วย ทั้งในแง่เศรษฐกิจและการเมือง อินโดนีเซียที่เป็นปัจจุบันนับเป็นประเทศประชาธิปไตยแถวหน้าของภูมิภาค และวางตัวเป็นพี่ใหญ่ของอาเซียนจึงออกโรงออกแรงเดินสายหารือกับสิงคโปร์ บรูไน มาเลเซีย ในการที่หาทางแก้ไขปัญหาพม่า โดยการใช้กลไกของอาเซียน ซึ่งเท่าที่อ่านมาก็มีหลายประเทศนอกภูมิภาคที่สนับสนุนแนวทางนี้

จึงเป็นที่มาของการทูตในแบบลับๆ ของการพบปะสามฝ่ายระหว่างรัฐมนตรีต่างประเทศพม่ากับอินโดนีเซีย (ที่บินเข้ามาเงียบๆ ก่อนหน้า) และไทย (ในฐานะเจ้าบ้าน) เมื่อวานนี้ (แต่แถมด้วยมีผู้นำแถวนี้โผล่ไปเจ๋อกับเขาด้วยแบบเผื่อได้หน้าอะไรกับเขาบ้าง ซึ่งที่จริงคือมันผิดมากๆ หลายเด้ง)

Advertisement

เรื่องนี้ในแวดวงทางการทูตใครๆ ต่างก็รู้ดีว่าเป็นความริเริ่มของฝ่ายอินโดนีเซีย ส่วนไทยไม่มีปัญญาความคิดอะไรเองได้ เพราะตัวเองก็สันหลังหวะ พูดไปก็เข้าเนื้อเข้าตัวเอง ก็ทำหน้าที่ได้แค่เอื้อเฟื้อสถานที่ให้เขาหารือกัน โดยเป็นเพียงตัวประกอบ เพราะไม่มีข้อเสนอที่สร้างสรรค์อะไร เป็นได้แค่อารมณ์ประมาณเด็กเสริฟน้ำ เก็บจานล้างจาน  ที่พอเขาคุยเสร็จแล้วก็กลับกันไป

แต่ก็เอาเถอะ เอื้อเฟื้อสถานที่ก็ยังดี ถือว่าได้มีส่วนช่วยเหลือการดำเนินของอาเซียนบ้าง แม้จะไม่มีอะไรเลยในแง่สารัตถะก็ตาม และอย่างน้อยมันก็อาจช่วยแก้ไขอะไรในพม่าได้บ้าง ผมเองมองว่าถ้าทางกองทัพพม่าเขามั่นใจว่าคุมสถานการณ์เอาอยู่ได้จริงร้อยเปอร์เซ็นต์ เขาคงไม่น่าบินมาคุยด้วยหรอกนะ

แต่ที่มัน fail มาก ผิดหลายเด้งคือที่ผู้นำแถวนี้รีบแจ้นไปพบฝ่ายพม่าที่สนามบินด้วยทั้งๆที่เขามีตำแหน่งที่ต่ำกว่า และก็มีรองนายก/รัฐมนตรีต่างประเทศไทยไปอยู่แล้ว โดยไม่ได้มีส่วนช่วยในการหารือในด้านสารัตถะแต่อย่างใด ซึ่งสิ่งนี้มันมองได้เช่นกันว่า ในขณะที่ทั่วโลกเขาประนามสิ่งที่เกิดขึ้นและรัฐบาลทหารพม่า การที่ผู้นำไทยทำเช่นนี้ ย่อมไม่ต่างกับการให้การรับรองรัฐบาลเผด็จการทหารพม่าอย่างหนึ่งนั่นเอง

(ชึ่งเห็นได้ชัดจากภาพประกอบของ MRTV ของพม่าว่าฝ่ายเขาก็เอาการพบปะกับผู้นำไทยไปขยายผลสร้างการยอมรับ ความชอบธรรมเช่นกัน)

ก็ไม่รู้ไปทำไม ไม่รู้มีใครทักท้วงบ้างไหม คือคงอาจอยากได้หน้ากับเขาบ้าง แต่จริงๆคือผิดมากที่ทำแบบนี้นะครับ อย่างนัอยๆก็ผิดสามเด้ง

1.ผิดมารยาททางการทูตและทำให้ประเทศชาติเสียศักดิศรี
2. ผิดในแง่การต่างประเทศที่ทั่วโลกเขาต่างรุมประนามพม่าอยู่ขณะนี้ ซึ่งทำให้มองได้ว่าเป็นการให้การรับรองเผด็จการทหารพม่าอย่างหนึ่ง
3. ผิดกฎหมายที่ตัวเองกำหนดเอง เพราะไม่มีการกักตัวคนเดินทางเข้าประเทศก่อนด้วย การพบปะกันก็เพียงใส่หน้ากากอนามัยแค่นั้นเอง

จะอ้างว่ามีความห่วงกังวลมากต่อสถานการณ์ในพม่าจึงต้องไปเอง แล้วฟังรายงานจากลูกน้อง หน่วยต่างๆมากมายเอาไม่ได้หรือ? ที่ไปแล้วตัวเองมีข้อเสนออะไรที่สร้างสรรค์จะไปคุยกับเขาหรือก็เปล่าอีก แล้วก็มาอ้างว่าการไปนี่คือ “การให้เข้าเยี่ยมคารวะ” ทั้งๆที่ตัวเองตำแหน่งสูงกว่าแต่กลับเป็นฝ่ายแจ้นไปพบเขาเอง ก็ไม่ทราบใครคิดคำอธิบายแก้ต่างนี้ มันไม่ฉลาดและเชยมากนะครับ

หรือว่าเดี๋ยวนี้ผู้นำไทยนั่งทำงานอยู่ที่สนามบินนี่เอง 555

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image