เมื่อ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. มองเห็นการตีแผ่ข่าวผู้ต้องหาคนสำคัญ คดีค้ายาไอซ์พันล้าน กล่าวพาดพิงตำรวจ 3 คน เป็นตำรวจหญิง 1 พันตำรวจเอก 1 และพลตำรวจโท 1 เป็นการบิดเบือนข้อมูลเพื่อบ่อนทำลายความน่าเชื่อถือกระบวนการยุติธรรม ก็จำเป็นต้องค้นหา ความหมาย
เริ่มจากความหมายของคำว่า บิดเบือนข้อมูล
จากนั้นค้นหาต่อไปว่า ผู้ประสงค์บิดเบือนข้อมูลเพื่อบ่อนทำลายนั้น ได้ประโยชน์อะไรจากการกระทำ
คำพูดของ ผบ.ตร. ไม่น่าจะเลื่อนลอย
เริ่มจากคำว่า บิดเบือนข้อมูล
การบิดเบือนข้อมูลในคดีที่ได้ผลคือ การไปที่เรือนจำแล้วส่งสัญญาณคุกคาม
ผู้ต้องขังที่เป็นพยานให้รับรู้ได้ถึง อันตราย จากนั้นก็ลงมือสอบปากคำใหม่ เปลี่ยนดำให้เป็นขาว หรือที่ขาวอยู่ก็แต่งแต้มให้ดำ ทำผิดให้ถูก ทำถูกให้ผิด
นี่เรียกว่า บิดเบือน
ลำพังการนำเสนอข้อมูลข่าวสารของสื่อแทบไม่มีความหมายทางคดี!
แต่ก็เป็นความจริงว่า สื่อมวลชนก็สามารถ จุดไฟ ก่อกระแสบ่อนทำลายความน่าเชื่อถือของกระบวนการยุติธรรมได้
คำกล่าวของ ผบ.ตร.ที่ว่า บิดเบือนข้อมูลเพื่อบ่อนทำลายความน่าเชื่อถือในกระบวนการยุติธรรม จึงยังมีข้อที่น่ารับฟัง
แต่ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจคำว่า กระบวนการ
กระบวนการยุติธรรม เป็นการทำหน้าที่สืบเนื่องยึดโยงสัมพันธ์กันตั้งแต่ชั้นตำรวจ อัยการ ศาล และราชทัณฑ์
ผบ.ตร. ไม่อาจจะเลอะเลือนใน หลักการ!
ตำรวจ เป็นต้นธารของกระบวนการยุติธรรม
การดำเนินคดีอาญาเริ่มที่ตำรวจ
เมื่อมีเหตุอันควรสงสัย หรือเมื่อพบการกระทำความผิด ตำรวจมีหน้าที่ต้อง สอบสวน รวบรวมพยานหลักฐานให้เสร็จสิ้น แล้วส่งให้ อัยการ พร้อมความเห็นทางคดีว่า ควรฟ้อง หรือไม่ควรฟ้อง
คำให้การพาดพิงของ นายเกิดชนะ มินา ตัวการสำคัญ คดียาไอซ์พันล้าน นั้น ไม่ว่าพาดพิงไปถึงใคร ตำรวจก็ต้อง สอบสวน ให้สิ้นกระแสความแล้วจึงส่งสำนวนให้ อัยการ
ไม่มีใครบิดเบือนข้อมูลคดีนี้เพื่อทำลายความน่าเชื่อถือของใคร!
ในวันที่สอบปากคำนายเกิดชนะนั้น ทั้งนายอุทัย สินมา อธิบดีอัยการคดียาเสพติด กับ พล.ต.อ.สุชาติ ธีระสวัสดิ์ รอง ผบ.ตร. ก็ร่วมรับฟังได้ยินเต็มสองรูหู
ทำไม ผบ.ตร. ไม่ค้นหาว่าเกิดอะไรขึ้น ชื่อตัวละคร บางคนกับ ใจความสำคัญ บางประเด็นจึงไม่มีในสำนวนจนเป็นเหตุให้ อัยการ สั่งสอบสวนเพิ่มเติม
ไม่มีใครบ่อนทำลายกระบวนการยุติธรรม
ความเสื่อมทั้งหลายก็เช่นสนิมที่เกิดจากเนื้อในตน!?!!