เหยี่ยวถลาลม : ถอดรหัสจาก‘ผบ.ตร.’ (4)
การทำความจริงให้ปรากฏไม่ได้หมายความว่าจะมุ่งทำลายตัวบุคคล เพียงแต่ “บุคคล” เมื่อได้กระทำในสิ่งใดก็ย่อมจะได้รับผลจากการกระทำนั้น
การดำเนินคดีอาญาเริ่มที่ “ตำรวจ”
ตำรวจถูกกำหนดให้ “ทำหน้าที่” สืบค้นหาความจริง ทำความคลุมเครือให้กระจ่าง ที่มืดก็นำแสงสว่างไปให้ ถัดจากนั้น เจ้าพนักงานในชั้นถัดไป อาทิ อัยการ และตุลาการ เป็นผู้พินิจวินิจฉัย “การกระทำ”
กระบวนการยุติธรรมมีเพียงเท่านั้น
พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร.เป็น “ผู้นำองค์กรตำรวจ” ควรจะต้องทำความเข้าใจให้แจ่มชัดใน “ตัวละคร” ที่สามารถบ่อนทำลายความน่าเชื่อถือของกระบวนการยุติธรรม
ทุกองค์กรในกระบวนการยุติธรรมควรเริ่มพิจารณาจาก “ใกล้ตัว”
ต้องใช้ท่าทีเข้มงวดกวดขันหมั่นสอดส่องอย่างเอาจริงเอาจังกับ “เจ้าพนักงานของรัฐ” ผู้มีหน้าที่
ตำรวจกวดขันกับตำรวจ
ผู้นำหน่วยตำรวจทุกระดับต้องไม่ละเลยหรือเพิกเฉยกับ “ข้อมูลข่าวสาร” ที่ชี้บอกพฤติการณ์นอกแถวของตำรวจ
ตั้งแต่ระดับ “ผบ.ตร.” รอง ผบ.ตร.ไล่ลงไปจนถึง “ผบช.ภ.6” ถึง “ผบก.ภ. ตาก” ถึง “กองกำกับการ” หรือ “สถานีตำรวจ” ควรให้ความสนใจ “คำให้การ” นายเกิดชนะ มินา จำเลยคดียาไอซ์ 1,500 กิโลกรัม ซึ่งถูกจับที่ห้วยยะอุ ต.ด่าน
แม่ระเมา อ.แม่สอด จ.ตาก
นายเกิดชนะยืนยันว่า นายฐปนันทน์ หรือหนู หรือเฉิน ธรรมรัตน์ธาดา เป็นเจ้าของยาเสพติดหลายล็อต มูลค่านับพันนับหมื่นล้าน
นางสาวหลิน ชาล์ เป็นคนจ่ายเงินเคลียร์เส้นทางกับเจ้าหน้าที่รัฐรายเดือนตั้งแต่ 5-15 ล้านบาท สุดแต่เที่ยวลำเลียง “น้ำแข็ง” มากหรือน้อย
เมื่อมีผู้ถูกจับกุม “หลิน ชาล์” ก็จ่ายเงินซื้อหลักฐาน เช่น กล้องวงจรปิดที่บันทึกเส้นทางรถวิ่งผ่าน ซื้อหลักฐานดีเอ็นเอที่ติดก้นบุหรี่ซึ่งตกอยู่ในที่เกิดเหตุ
เส้นทางการเงิน 3.4 ล้านบาท ก็ต้อง “ทำความจริงให้ปรากฏ”
เส้นทางการรับเงินสด 15 ล้านบาท ที่โรบินสัน แม่สอด ก็ต้อง “ทำความจริงให้ปรากฏ”
ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเชื่อถือ “ข้อมูล” ทั้งหมดจากการให้ปากคำ
แต่ “ต้นธาร” กระบวนการยุติธรรมจะน่าเชื่อถือ ถ้า “ทำความจริงให้ปรากฏ”
“การสอบสวน” ไม่ใช่เรื่องละเมอเพ้อพก
ตำรวจต้องสืบสวนสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อค้นหาความจริงให้สิ้นกระบวนความ
ถ้าได้ยินว่ามี “ตำรวจ” รับเงินจากขบวนการค้ายาเสพติดแล้วองค์กรตำรวจไม่ลงมือจัดการ กระบวนการยุติธรรมก็จะไม่เหลือความเป็น “กระบวน”!?!!
