อัยการธนกฤต ผอ.นิติวัชร์ ชี้คดีน้องภูผา ถูกรุ่นพี่เอาซีม่าโลชั่นราดตัว ร.ร. และครู ละเลยไม่จัดการปัญหา มัวแต่ยุ่งเตรียมงานต้อนรับ ส.ว. สะท้อนปัญหา พ.ร.บ. คุ้มครองเด็ก ขาดมาตรการบังคับในการจัดการปัญหาความรุนแรงใน ร.ร. แนะแก้ พ.ร.บ. คุ้มครองเด็ก ใช้โมเดลฝรั่งเศส กำหนดมาตรการป้องกัน แก้ไข จัดการปัญหาความรุนแรงในโรงเรียนเป็นการเฉพาะ การจัดการปัญหาเพียงแค่แจ้งความ เรียกค่าเสียหายแบบเดิมไม่พอ
เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 64 ดร.ธนกฤต วรธนัชชากุลผู้อำนวยการสำนักงานประสานงานกระบวนการยุติธรรม สถาบันนิติวัชร์ สำนักงานอัยการสูงสุด ได้โพสต์เฟซบุ๊คให้ความเห็นข้อกฎหมาย ในประเด็น กรณีน้องภูผา ถูกนักเรียนรุ่นพี่เอาซีม่าโลชั่นราดตัว ความว่าเรื่องราวความรุนแรงในโรงเรียนในสังคมไทยเกิดขึ้นบ่อยครั้งมาก ไม่ว่าจะเป็นข่าวครู หรือพี่เลี้ยงทำร้ายร่างกายเด็กนักเรียน หรือเด็กนักเรียนทำร้ายร่างกายกันเอง จนมาครั้งล่าสุดเป็นกรณีของน้องภูผา เด็กนักเรียนชั้น ป. 2 ของโรงเรียนประจำแห่งหนึ่งในจังหวัดกระบี่ ซึ่งถูกเด็กนักเรียนรุ่นพี่ 2 คน ที่เรียนอยู่ชั้น ป. 5 และ ม. 4 ทำร้ายร่างกาย และเอาซีม่าโลชั่นที่มีฤทธิ์เป็นกรดเนื่องจากมีกรดซาลิซิลิกเป็นส่วนผสมสำคัญ จำนวนหลายขวด ราดไปตามตัวน้องภูผาจนเป็นแผลพุพองทั่วร่างกาย
เมื่อเกิดเหตุความรุนแรงในโรงเรียนแบบนี้ ภาพที่เห็นจนชินตาคือ ผู้ปกครองของเด็กนักเรียนที่ถูกทำร้ายร่างกายก็จะไปแจ้งความดำเนินคดีเอาผิดทางอาญากับผู้ทำร้ายร่างกายเด็ก และมีการเรียกร้องให้ชดใช้ค่าเสียหายทางแพ่ง ที่เป็นสิ่งที่ทำกันอยู่แล้วตามปกติและเป็นเรื่องที่เห็นจนชาชิน เพราะคดีความรุนแรงในโรงเรียนเกิดขึ้นบ่อยมากในสังคมไทย และกว่าจะมีการดำเนินคดีเอาผิดกับผู้ก่อเหตุหรือมีการชดใช้ค่าเสียหาย บางคดีอาจจะใช้เวลาที่ยาวนานเป็นปีหรือหลายปี
แต่เราอาจจะต้องมาคิดและนึกทบทวนเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในโรงเรียนที่ผ่าน ๆ มาหรือไม่ว่า หลังจากเกิดเหตุความรุนแรงในโรงเรียนขึ้นแล้ว การจัดการกับปัญหาความรุนแรงคงไม่ใช่เพียงการไปแจ้งความและเรียกร้องค่าเสียหายเท่านั้น แต่ควรจะต้องมีการจัดการและแก้ไขปัญหาความรุนแรงที่เกิดขึ้นอย่างทันทีและถูกต้องเหมาะสมด้วย ซึ่งหลายต่อหลายครั้ง ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบไม่จัดการแก้ไขปัญหาความรุนแรงที่เกิดขึ้น ปล่อยปละละเลย จนทำให้ความเสียหายลุกลามบานปลาย และมีผลเสียหายตามมามากขึ้นกว่าเดิม
อย่างกรณีของน้องภูผา แม่ของน้องภูผาเล่าว่า น้องภูผาถูกเด็กนักเรียนรุ่นพี่ทำร้ายตั้งแต่วันที่ 20 มีนาคม 2564 แต่โรงเรียนและครูไม่ได้มีการดูแลรักษาเบื้องต้น ไม่ได้ส่งน้องภูผาไปรักษาที่โรงพยาบาลตั้งแต่แรก จนวันที่ 22 มีนาคม 2564 เมื่อแม่ได้รับแจ้งจากพี่สาวของน้องภูผาที่เรียนอยู่ชั้น ป. 5 โรงเรียนเดียวกันว่า น้องภูผาอาการไม่ดี จึงรีบไปที่โรงเรียนและพาน้องภูผาส่งโรงพยาบาล แม่เล่าว่า ผู้อำนวยการแจ้งว่า ครูติดประชุมเรื่องที่จะมี ส.ว. มาเยี่ยมโรงเรียนทำให้ไม่ได้ส่งน้องภูผาไปโรงพยาบาล
หากข้อเท็จจริงเป็นอย่างที่แม่ของน้องภูผาบอกจริง ก็แสดงให้เห็นถึงการปล่อยปละละเลยของผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องที่ไม่เร่งรีบนำน้องภูผาส่งโรงพยาบาลจนอาการรุนแรงขึ้น ปล่อยให้น้องภูผาทนทุกข์ทรมานกับบาดแผลพุพองทั่วร่างกายอยู่หลายวัน รวมทั้งบาดแผลทางจิตใจที่ไม่มีการเยียวยาฟื้นฟูสภาพทางจิตใจทันทีที่เกิดเหตุ อีกทั้งไม่มีการแจ้งให้ผู้ปกครองของน้องภูผาทราบ และไม่มีการดำเนินการกับเด็กนักเรียนที่ทำร้ายน้องภูผาทันทีที่เกิดเหตุด้วย
นอกจากกรณีของน้องภูผาก็ยังมีอีกหลายกรณีที่เคยเกิดปัญหาความรุนแรงในโรงเรียนขึ้นมา แล้วผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องไม่ใส่ใจและไม่เร่งรีบจัดการแก้ไขปัญหาความรุนแรง บางครั้งมีการปกปิดข้อมูลไม่แจ้งให้ผู้ปกครองของเด็กนักเรียนที่ถูกทำร้ายทราบ จนปัญหาลุกลามรุนแรงมากขึ้นและเกิดผลเสียหายตามมามากขึ้นกว่าเดิม
ปัญหาการขาดความสนใจ ปล่อยปละละเลย ปกปิดข้อมูล ไม่จัดการแก้ไขปัญหาความรุนแรงที่เกิดขึ้นของโรงเรียนและผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้อง ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะ พ.ร.บ. คุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 ไม่มีกระบวนการและมาตรการทางกฎหมายในการป้องกันและจัดการปัญหาความรุนแรงที่กระทำต่อเด็กนักเรียนในโรงเรียนที่เหมาะสม ทันทีทันใด และมีประสิทธิภาพเพียงพอไว้เป็นการเฉพาะ มาตรา 64 และมาตรา 65 ของ พ.ร.บ. คุ้มครองเด็ก ฯ ที่กำหนดหลักเกณฑ์ในการลงโทษนักเรียนและนักศึกษา ก็มีวัตถุประสงค์ในการควบคุมและส่งเสริมความประพฤตินักเรียนและนักศึกษา ไม่ได้มีวัตถุประสงค์ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาความรุนแรงในโรงเรียน ทำให้ผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องในการจัดการปัญหาความรุนแรงในโรงเรียน เช่น ผู้อำนวยการโรงเรียนและครู ละเลยไม่ใส่ใจต่อการเร่งรีบจัดการแก้ไขปัญหาความรุนแรงที่เกิดขึ้น และบางครั้งมีการปกปิดข้อมูลด้วย
ในขณะที่ในต่างประเทศ เช่น ประเทศฝรั่งเศสมีประมวลกฎหมายการศึกษา (Code de l’éducation) กำหนดมาตรการต่าง ๆ ไว้เป็นการเฉพาะในการป้องกันปัญหาความรุนแรงในโรงเรียน ขั้นตอนและกระบวนการในการจัดการแก้ไขปัญหาความรุนแรงที่เกิดขึ้นในโรงเรียนอย่างทันท่วงที บุคคลต่าง ๆ ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องในการเข้ามาจัดการแก้ไขปัญหาความรุนแรงที่เกิดขึ้นในโรงเรียน และการเยียวยาผลกระทบและความเสียหายที่เกิดขึ้น ซึ่งรวมถึงการเยียวยาผลกระทบทางจิตใจ และมาตรการดำเนินคดีทางแพ่งและทางอาญา และการกำหนดบทลงโทษที่มีความเหมาะสมในการป้องกันระงับยับยั้งปัญหาความรุนแรงในโรงเรียน ที่คำนึงถึงอายุของผู้กระทำและผู้ถูกกระทำและพฤติการณ์ความร้ายแรงของการกระทำรุนแรงประกอบ
ทั้งนี้ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในโรงเรียนตามประมวลกฎหมายการศึกษาของประเทศฝรั่งเศสอาจจะเป็นความรุนแรงที่กระทำระหว่างเด็กนักเรียนด้วยกันเอง ครูกระทำต่อนักเรียน หรือนักเรียนกระทำต่อครูในโรงเรียน ซึ่งอาจเป็นความรุนแรงที่กระทำทางกาย ทางวาจา การคุกคามข่มขู่ การคุกคามทางเพศ ความรุนแรงที่กระทำผ่านสังคมออนไลน์หรือผ่านอินเทอร์เน็ต ที่ส่งผลกระทบต่อร่างกาย จิตใจ พัฒนาการด้านการเรียน ผลการเรียน และคุณภาพชีวิต เป็นต้น
ซึ่งมาตรการต่าง ๆ ในประมวลกฎหมายการศึกษาของประเทศฝรั่งเศสดังกล่าวนี้ ไม่มีอยู่เลยใน พ.ร.บ. คุ้มครองเด็ก ฯ หากประเทศไทยจะได้มีการปรับปรุงแก้ไข พ.ร.บ. คุ้มครองเด็ก ฯ โดยบัญญัติมาตรการในการป้องกันแก้ไขและขจัดปัญหาความรุนแรงในโรงเรียนไว้เป็นการเฉพาะว่า หากมีความรุนแรงเกิดขึ้นในโรงเรียน จะมีกระบวนการ ขั้นตอนและมาตรการตามกฎหมายในการจัดการปัญหาความรุนแรงที่เกิดขึ้นอย่างไร ใครเป็นผู้มีหน้าที่ที่ต้องเข้ามาเกี่ยวข้องบ้าง และบุคคลเหล่านี้มีหน้าที่ต้องทำในการจัดการแก้ไขปัญหาความรุนแรงที่เกิดขึ้นในโรงเรียนอย่างไร รวมทั้งการจัดให้มีมาตรการฟื้นฟูและเยียวยาจิตใจเด็กนักเรียนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุความรุนแรง น่าจะทำให้การจัดการแก้ไขปัญหาความรุนแรงในโรงเรียนมีความชัดเจนมากขึ้นว่า เมื่อมีความรุนแรงเกิดขึ้นในโรงเรียน ใครมีหน้าที่ตามกฎหมายที่จะต้องดำเนินการ และต้องดำเนินการอย่างไรบ้าง หากไม่ปฏิบัติตามมีความผิดตามกฎหมายอย่างไร
ซึ่งน่าจะดีกว่าการมาฟังข้ออ้าง ข้อแก้ตัวต่าง ๆ ของผู้มีหน้าที่ในการจัดการแก้ไขปัญหาแต่ไม่ทำหน้าที่ของตน และน่าจะทำให้การแก้ไขปัญหาความรุนแรงที่กระทำต่อเด็กนักเรียนในโรงเรียนรวมทั้งมาตรการป้องกันปัญหา เป็นผลดีต่อเด็กนักเรียน และมีประสิทธิภาพและความรวดเร็วในการจัดการแก้ไขปัญหามากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ในขณะนี้