ถ้าคำว่า ประชาชน กว้างไป ก็ให้ข้าราชการของรัฐที่ใช้อาวุธและกฎหมายหันไปพินิจ ใบหน้า
ลูกเมีย พ่อแม่ พี่น้องเครือญาติและเพื่อนพ้องที่รัก
ทุกชีวิตไม่มีใครเหมือนใคร คิดไม่เหมือนกัน อุปนิสัยใจคอ รัก ชอบ ชัง แตกต่างกันไป โลกใบนี้จึงได้สวยงาม มากไปด้วยสีสันและการสร้างสรรค์อันไม่สิ้นสุด
แตกต่าง ทำไมต้องฆ่า ถ้าเห็นว่าประชาชนเหมือนญาติพี่น้อง จะฆ่ากันไม่ลง
ที่เมียนมาคงบ้าไปแล้ว !
แค่ 2 เดือน เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงกับทหารฆ่าผู้ชุมนุมต่อต้านรัฐประหารตายไปเกือบ 500 ศพ ล่าสุดที่เมืองพะโค ซึ่งเป็นศูนย์กลางธุรกิจการค้าแห่งหนึ่ง ทหารยังเข้าไปกราดยิงใส่ผู้คนไม่เว้นแม้กระทั่งในงานศพ
สุรเกียรติ์ เสถียรไทย ประธานคณะมนตรีเพื่อสันติภาพและความปรองดองแห่งเอเชีย (APRC) อดีตรองนายกรัฐมนตรีและอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ จึงมีความเห็นว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในเมียนมา ส่งผลกระทบต่อ จุดยืน ภาพพจน์ และชื่อเสียง ของประเทศไทย
ดร.สุรเกียรติ์ตั้งใจจะบอกว่า ไทยเฉย จะกลายเป็นภัย !
ท่าทีทำเป็นเฉยของรัฐบาลไทยโดยที่อ้างหลัก ไม่แทรกแซงกิจการภายใน นั้นจะถูกโลกจับได้ว่ากะล่อนและประณามว่ายืนข้างฝ่ายฆ่าประชาชน
ดร.สุรเกียรติย้ำว่า การที่กองทัพเมียนมาใช้ความรุนแรงปราบปรามประชาชนเสียชีวิตจำนวนมาก ซ้อมทารุณ ทุบตีคนเห็นต่างที่ใช้อารยะขัดขืนไม่ออกไปทำงาน และการใช้กระสุนจริงยิงเด็กอายุ 5 ขวบ 7 ขวบ 10 ขวบนั้น ทำให้ หลักการไม่แทรกแซงกิจการภายใน ของประเทศอาเซียนต้องทำความเข้าใจใหม่
เมื่อมี การก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ หลักการไม่แทรกแซงกิจการภายในของประเทศสมาชิกสหประชาชาติก็จะต้องพับเก็บไป
การฆ่าคนเห็นต่างทางการเมืองเป็น การก่ออาชญากรรม !
มีแต่ การฆ่าคนโดยชอบ ที่เรียกว่า ประหารชีวิต เท่านั้นที่ไม่ถูกนับเป็นการก่ออาชญากรรม
แต่การประหารชีวิตก็มีพัฒนาการ
จากเดิมที่เคยแขวนคอ บั่นศีรษะเลือดสาดคากิโยติน ตัดหัวเสียบประจาน จับผูกตามัดกับหลักประหารแล้วสาดกระสุนใส่กันจนพรุน ปัจจุบันเลิกทำกันอย่างอุกอาจอุจาดตาป่าเถื่อนแล้ว
เมียนมา จะเหมือนหนังตัวอย่างให้ได้ใช้สติปัญญาครุ่นคิด
ตำรวจ ทหาร ต้องไม่ก่ออาชญากรรม
สถานการณ์ทางการเมืองไทยก็กำลังเป็นที่น่าจับตา !?!!