ความรุนแรงในเมียนมายกระดับ ประชาชนเริ่มตอบโต้ทหาร ผวาเกิดสงครามกลางเมือง

AP Photo

 

ความรุนแรงในเมียนมายกระดับ ประชาชนเริ่มตอบโต้ทหาร ผวาเกิดสงครามกลางเมือง

เมื่อวันที่ 11 เมษายน สำนักข่าวเอเอฟพี รายงานความคืบหน้าของสถานการณ์ประท้วงในประเทศเมียนมาว่ากำลังยกระดับขึ้นสู่สภาพสงครามกลางเมืองมากขึ้นทุกขณะ เมื่อประชาชนในหลายเมืองเริ่มตอบโต้การปราบปรามอย่างรุนแรงของเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจด้วยอาวุธเท่าที่จะหาได้ เห็นได้ชัดจากกรณีการโจมตีสาขาของธนาคารเมียวดีในเมืองมัณฑะเลย์ ซึ่งเป็นหนึ่งในกิจการของกองทัพเมียนมาด้วยระเบิดเมื่อเช้าวันเดียวกันนี้ เป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของธนาคารเสียชีวิต 1 ราย หลังจากทหารเมียนถูกชาวเมืองตะมู่ เมืองชายแดนติดต่อกับอินเดียโจมตีด้วยปืนไรเฟิลล่าสัตว์และระเบิดมือ ถึงขนาดรถลำเลียงพลิกคว่ำ มีทหารเสียชีวิตกว่าสิบนาย

เอเอฟพีระบุว่า ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา สถานการณ์ในเมียนมารุนแรงอย่างยิ่ง โดยสมาคมเพื่อการช่วยเหลือนักโทษการเมือง (เอเอพีพี) ที่เก็บรวบรวมสถิติการเสียชีวิตในการประท้วง ระบุว่า เมื่อคืนวันที่ 9 ต่อเนื่องกับวันที่ 10 เมษายนที่ผ่านมา ทหารเมียนมาโจมตีกลุ่มผู้ประท้วงด้วยอาวุธเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตมากถึง 82 รายที่เมืองพะโค ซึ่งทำให้ยอดผู้เสียชีวิตจากการประท้วงรัฐบาลทหารในเมียนมาเพิ่มขึ้นเป็น 701 รายแล้ว ในขณะที่ตัวเลขผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ชุมนุมประท้วงที่ทางการเมียนมาแถลง ยังคงอยู่ที่ 248 รายเท่านั้น

(AP Photo)

อย่างไรก็ตาม ชาวเมียนมายังคงออกมาเดินขบวนเพื่อประท้วงและแสดงถึงการไม่ยอมรับการปกครองของรัฐบาลทหารในหลายเมืองทั่วประเทศในวันนี้ โดยมีการเดินขบวนใหญ่ของนักศึกษามหาวิทยาลัย ร่วมกับอาจารย์ไปตามท้องถนนในมัณฑะเลย์ และที่เมืองเมะทีลา ในภูมิภาคมัณฑะเลย์ ชูดอกไม้สัญลักษณ์แห่งชัยชนะพร้อมกับแผ่นป้ายมีข้อความ “เราจะชนะ เราจะได้ชัย” นอกจากนั้นยังมีการชุมนุมประท้วงที่เมืองโมนยวา ที่ผู้ประท้วงร่วมกันจารึกข้อความ “เราต้องชนะ” เอาไว้พร้อมกับข้อความเรียกร้องให้สหประชาชาติดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อป้องกันไม่ให้นองเลือดมากไปกว่านี้

Advertisement

ในขณะที่แกนนำทั่วประเทศพากันเรียกร้องให้ประชาชนออกมาร่วม “จุดคบเพลิงประท้วง” ในคืนวันนี้ เพื่อแสดงพลัง

เอเอฟพีระบุว่า ได้รับการยืนยันว่าเกิดเหตุจลาจลรุนแรงขึ้นที่เมืองตะมู่ ใกล้กับชายแดนประเทศอินเดีย เมื่อผู้ประท้วงตอบโต้การปราบปรามของเจ้าหน้าที่ด้วยอาวุธ หลังจากกำลังทหารพยายามเข้าสลายการชุมนุมและรื้อทำลายสิ่งกีดขวางที่ผู้ประท้วงสร้างขึ้นชั่วคราวเพื่อป้องกันการโจมตีของเจ้าหน้าที่

รายงานข่าวระบุว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อตอนดึกของวันที่ 10 เมษายนที่ผ่านมา เริ่มต้นจากการระดมสุ่มยิงเข้ามาของทหาร จนมีผู้ประท้วงเสียชีวิตทันที่ 2 คน ในที่สุดผู้ประท้วงก็ตอบโต้ด้วยปืนล่าสัตว์และระเบิด จนรถบรรทุกทหารพลิกคว่ำทหารเสียชีวิตกว่า 10 นายดังกล่าว หลังเกิดเหตุชาวบ้านหลายคนต้องพากันหลบหนีไปซ่อนตัว เพราะกลัวว่าจะถูกทหารโจมตีแก้แค้น

Advertisement

นอกจากนั้น ในรัฐฉานทางตอนเหนือของเมียนมา โดยพลจัตวา ตา โบน จ่อ ผู้บัญชาการกองทัพปลดปล่อยแห่งชาติตะอาง (หรือปะหล่อง) ยืนยันว่า การปะทะกันอย่างหนักเกิดขึ้นเมื่อกองกำลังของตนที่รวมกำลังกองทัพกบฏอื่นๆ รวมทั้ง กองทัพแห่งชาติอาระกัน (เอเคเอ), กองทัพพันธมิตรประชาธิปไตยแห่งชาติเมียนมา ซึ่งเป็นกองกำลังติดอาวุธโกก้าง รวมกำลังกันโจมตีสถานีตำรวจแห่งหนึ่ง มีรายงานในสื่อเมียนมาระบุว่า เป็นเหตุให้ตำรวจเสียชีวิตระหว่าง 10 ถึง 14 นาย

สถานีโทรทัศน์ของทางการพม่าระบุว่า การโจมตีดังกล่าวเป็นฝีมือของ “กลุ่มก่อการร้ายติดอาวุธ” ที่ใช้อาวุธหนักโจมตีสถานีตำรวจและเผาทิ้งทั้งสถานี

ในขณะที่มีรายงานก่อนหน้านี้ว่า ทางการเมียนมาอาศัยอำนาจของศาลทหาร พิพากษาให้ประหารชีวิตชาวเมียนมา 36 ราย ซึ่งถูกจับกุมในเขตหัวเมือง โอกะลาปาเหนือของนครย่างกุ้ง ซึ่งเป็นเขตย่านธุรกิจ และเป็น 1 ใน 6 พื้นที่ที่อยู่ภายใต้กฎอัยการศึกที่ประกาศโดยกองทัพเมียนมา โดยอ้างว่า คนเหล่านี้กระทำผิดฐานปล้นสะดมและกระทำฆาตกรรม

นายฟิล โรเบิร์ตสัน รองผู้อำนวยการแผนกเอเชียของฮิวแมนไรท์วอทช์ ตั้งข้อสังเกตว่า เมียนมาไม่เคยยกเลิกโทษประหารชีวิตก็จริง แต่ในช่วง 30 ปีที่ผ่านมาไม่เคยลงโทษประหารผู้ต้องหารายใดมาก่อน คำพิพากษาของศาลทหารดังกล่าวอาจเป็นการส่งสัญญาณว่า ทางกองทัพอาจหยิบเอาโทษประหารกลับมาใช้ประหารประชาชนใหม่อีกครั้ง

(AP Photo)
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image