ยอดผู้ป่วยโรคโควิด-19 ของไทยยังพุ่งไม่หยุด ทุกวันต้องลุ้น “นิว ไฮ” โดยเมื่อวันศุกร์ที่ 23 เมษายน ยอดทะลุ 2,000 คน และเสียชีวิตอีก 4
ขณะที่ผู้ป่วยมากขึ้น การจัดการก็ยากขึ้นเป็นเงาตามตัว
โรงพยาบาลสนามแม้จะยืนยันว่ามีเตียงรองรับ แต่ก็ปรากฏข่าวผู้ติดเชื้อต้องอยู่ที่บ้านจนคนที่บ้านติดเชื้อ
แม้แต่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยังเจอกับตัวเอง
โทรสายด่วนแล้วไม่มีใครรับสาย
นอกจากนี้เริ่มมีคนที่รู้สึกว่าการฉีดวัคซีนในเมืองไทยไม่ทันเวลา
ภาคเอกชนนำโดย 40 ซีอีโอ ได้ประชุมกันพร้อมมีมติเสนอตัวเข้าไปช่วยรัฐบาลจัดหาวัคซีน ยอมจ่ายค่าวัคซีน เพื่อมาฉีดให้บุคลากร
แรงกดดันดังกล่าว ทำให้รัฐบาลต้องเร่งเจรจาหาวัคซีนเพิ่ม
พล.อ.ประยุทธ์ต่อสายไปยังประเทศเจ้าของวัคซีนเพิ่มเติม
ทั้งจีน สหรัฐอเมริกา รัสเซีย และอินเดีย
กระทั่งได้รับการตอบรับจากวัคซีนไฟเซอร์ และวัคซีนสปุตนิก วี
ขยับเป้าหมายการซื้อวัคซีนจาก 80 ล้านโดส เป็น 100 ล้านโดส
และประกาศฉีดให้ครอบคลุม 70 เปอร์เซ็นต์ ของประชากรทั่วประเทศไทยในสิ้นปี
รัฐบาลในห้วงนี้ถูกโควิด-19 โจมตีสะบักสะบอม
แม้ทั่วประเทศกำลังโกลาหลเรื่องโควิด-19 ระบาดรอบ 3 แต่บรรดาพรรคการเมืองยังคงมีความเคลื่อนไหว
เป็นความเคลื่อนไหวที่มีผลจากสถานการณ์ของรัฐบาล
ภาพรวมของรัฐบาลภายหลังจากที่ญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อเลือกตั้ง ส.ส.ร. มายกร่างรัฐธรรมนูญ ตกไป ทำให้บรรดาพรรคการเมืองต่างๆ หันกลับเข้าสู่กติการัฐธรรมนูญปี 2560
แก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตรา
การแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตราที่ปรากฏเป็นรูปธรรมที่สุด คือ ร่างของพรรคพลังประชารัฐที่มีหัวใจอยู่ที่เปลี่ยนให้มีบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ
เลือก ส.ส.เขต 1 ใบ และเลือก ส.ส.บัญชีรายชื่อ 1 ใบ
การแก้ไขรัฐธรรมนูญเช่นนี้ หากประสบความสำเร็จ ย่อมทำให้พรรคใหญ่อย่างพรรคพลังประชารัฐ และพรรคเพื่อไทยได้เปรียบกว่าพรรคขนาดกลางขนาดเล็ก
ข้อเสนอดังกล่าวแตกต่างจากพรรคก้าวไกล ที่แม้จะให้มีบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ แต่สูตรการคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อแตกต่างจากสูตรของพรรคพลังประชารัฐ
แต่ข้อได้เปรียบของพรรคพลังประชารัฐคือ ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับที่เสนอไม่แตะต้องอำนาจของ ส.ว.
เปิดทางให้ 250 ส.ว.ยกมือสนับสนุน
และที่สำคัญที่สุดคือการแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคพลังประชารัฐ ไม่ได้ทำให้อำนาจ คสช. ได้รับผลกระทบ
ไม่กระทบการสืบทอดอำนาจ
ข้อเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญที่มุ่งให้พรรคใหญ่ได้เปรียบ สอดรับกับกระแสข่าวพรรคใหญ่ “แตกตัว” เพื่อตั้งพรรคเล็ก
ทั้งนี้ จากประสบการณ์การเลือกตั้งทั่วไปครั้งล่าสุดเมื่อปี 2562 รัฐธรรมนูญเอื้อให้พรรคเล็กได้ ส.ส.เข้าสภา
ผลที่เกิดขึ้นทำให้พรรคเล็กที่แม้จะไม่ได้ ส.ส.เขตเลยก็ยังมี ส.ส.เข้าสภา
ด้วยประสบการณ์จากการเลือกตั้งที่ผ่านมา ผนวกกับญัตติการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งที่ผ่านมาล่มในวาระ 3
โอกาสที่การเมืองไทยจะต้องยึดกติการัฐธรรมนูญปี 2560 จึงมีสูง
ดังนั้น นักการเมืองที่พอมีทุน มีฐานเสียง จึงไม่ทิ้งโอกาสที่จะรวมตัวเพื่อตั้งพรรคกันเอง
แม้จะได้ ส.ส. ไม่กี่คน แต่ด้วยกลไกของรัฐธรรมนูญปี 2560 ที่มีโอกาสเกิดรัฐบาลผสมสูง
พรรคขนาดกลางและขนาดเล็กจึงมีโอกาสต่อรอง
มีโอกาสเข้าร่วมรัฐบาลได้ง่าย
ดังนั้น การยื่นญัตติการแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคพลังประชารัฐจึงมีความหมาย
การชิงไหวชิงพริบในการแย่งความนิยมและแย่งพื้นที่เกิดขึ้นตลอดเวลา
สัปดาห์ที่ผ่านมา มีคำสั่งนายกรัฐมนตรีแบ่งงานรัฐมนตรี 29 คน ดูแลพื้นที่ เพื่อขอให้ช่วย “ขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน”
แม้คำสั่งดังกล่าวจะปรับปรุงจากคำสั่งเดิมเมื่อปี 2563 แต่พบว่าบางพื้นที่มีการเปิดโอกาสให้รัฐมนตรีของพรรคพลังประชารัฐมีเปรียบเหนือรัฐมนตรีของพรรคประชาธิปัตย์
ทุกจังหวะก้าวทางการเมืองห้วงเวลานี้จึงต้องจับจ้อง
ยิ่งมีกระแสเสียงกระพือข่าว “ยุบสภา” ขึ้นมา ยิ่งต้องสอดส่องดูความเคลื่อนไหว
แม้การยุบสภาจะยังไม่เกิดขึ้น แต่หากคำนวณวาระของรัฐบาลชุดปัจจุบันพบว่ายาวนานที่สุดก็อยู่ไม่เกินปี 2566 ต้องเลือกตั้งใหม่เพราะหมดวาระ
ห้วงเวลาที่เหลืออยู่จึงต้องตระเตรียมทางเดิน
ทั้งนักการเมือง พรรคการเมือง รัฐบาล ต้องตระเตรียมการ
นักการเมืองจะอยู่พรรคเดิม หรือจะย้ายไปอยู่พรรคใหม่ จะอยู่พรรคใหญ่ หรือไปสังกัดพรรคเล็ก
พรรคการเมืองก็ต้องแสวงหาหนทางเข้าสู่อำนาจหลังการเลือกตั้ง
สำหรับรัฐบาลนั้นมีเป้าหมายอยู่ต่อหลังเลือกตั้ง และด้วยกลไกของรัฐธรรมนูญปี 2560 ที่ ส.ว.ยังมีโอกาสโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีได้อีก 1 ครั้ง
โอกาสที่จะเลือก พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯอีกคราจึงยังมี
ทุกอย่างรัฐบาลได้กำหนดไว้ก่อนหน้านี้แล้ว
กำหนดตั้งแต่ยังเป็น คสช.
อย่างไรก็ตาม หลังจากโรคโควิด-19 ระบาดรอบ 3 ทำให้ “ความแน่นอน” คือ “ความไม่แน่นอน”
แม้กฎกติกาจะปูทางให้ พล.อ.ประยุทธ์อยู่ต่อ แต่เมื่อเกิดการระบาดรอบ 3 สิ่งที่พบเห็นคือศรัทธาที่มีต่อรัฐบาลอ่อนยวบ
องค์กรธุรกิจเอกชนเริ่มส่งเสียงดัง เพื่อเข้ามาช่วยบริหารจัดการ
คำให้สัมภาษณ์จากนักธุรกิจที่เคยสงบเสงี่ยมเริ่มมี “ข้อชี้แนะ” ที่ส่งตรงไปให้ พล.อ.ประยุทธ์
รวมถึงกระแสเสียงจากประชาชนที่อยู่ในสถานการณ์โกลาหลจากการจัดการการระบาดรอบใหม่
ทุกประการคือสถานการณ์ที่รัฐบาลกำลังเผชิญหน้า
ยิ่งเมื่อเหลียวไปดูความเคลื่อนไหวของฝ่ายการเมืองที่กำลังวางแผนอนาคตทางการเมืองของตัวเอง
ยิ่งระยะเวลาของรัฐบาลชุดนี้เหลือเวลาบริหารงานอีก 2 ปี
ทำให้ “การเมือง” นับตั้งแต่บัดนี้ไม่มีอะไรแน่นอน
พล.อ.ประยุทธ์ รัฐบาล และอื่นๆ ล้วนยืนอยู่บนความไม่แน่นอน