โรคระบาด การเมืองร้อน มองเพื่อนบ้าน ในสถานการณ์ ‘โควิด’

โรคระบาด การเมืองร้อน มองเพื่อนบ้าน ในสถานการณ์ ‘โควิด’
นักศึกษาเมียนมาชู 3 นิ้วถือป้ายประท้วงต้านรัฐประหาร ในเมืองมัณฑะเลย์ เมื่อ 10 พฤษภาคม ที่ผ่านมา (รอยเตอร์)

ยังคงคุกรุ่นในหลากหลายสถานการณ์ สำหรับเพื่อนบ้านอาเซียน ทั้งการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เช่นเดียวกับประเทศไทย ไหนจะปมร้อนการเมืองเรื่องต้านเผด็จการที่ยังคงประเด็นให้อัพเดตทุกวัน

บางประเทศ ย้อนกลับมา ‘ล็อกดาวน์’ บางประเทศที่ยอดติดโควิดน้อยนิดจนเฉียดเปิดประตู จู่ๆ จำนวนผู้ติดเชื้อก็พุ่งสูง ขณะที่บางประเทศเกิดสมรภูมิการเมืองที่เข้าข่ายสงครามจนกลบข่าวโควิดไปแทบสิ้น

มาเลเซีย ระบาดรอบ 3 ล็อกดาวน์ทั้งประเทศ

พุ่งสูงขึ้นตามลำดับสำหรับยอดติดโควิด จนสุดท้าย ทางการต้องประกาศล็อกดาวน์ทั่วประเทศ สำหรับมาเลเซีย เพื่อนบ้านชิดใกล้ทางตอนใต้ของไทย โดยเริ่มต้นตั้งแต่ 10 พฤษภาคมที่ผ่านมา มาตรการใหม่นี้เริ่มขึ้นก่อนที่จะมีเทศกาลอีฎิ้ลฟิตริของชาวมุสลิม ซึ่งนั่นหมายความว่าชาวมาเลเซียหลายล้านคนต้องยกเลิกการเดินทางกลับภูมิลำเนาในช่วงสิ้นสุดเทศกาลรอมฎอน

มูห์ยิดดิน ยัสซิน นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ระบุว่า ห้ามการเดินทางระหว่างรัฐและระหว่างเขต และห้ามรวมกลุ่มกัน ส่วนสถาบันการศึกษาต้องปิดชั่วคราว อย่างไรก็ตาม ภาคธุรกิจยังสามารถดำเนินต่อไปได้ตามปกติ

Advertisement

“ขณะนี้มาเลเซียกำลังเผชิญกับการแพร่ระบาดในรอบ 3 ซึ่งสามารถทำให้เกิดวิกฤตได้ทั่วประเทศ และมาตรการล็อกดาวน์ดังกล่าวจะใช้ไปจนถึงวันที่ 7 มิถุนายน” นายกฯมาเลเซียกล่าว

มาเลเซียล็อกดาวน์ทั้งประเทศตั้งแต่ 10 พฤษภาคม ที่ผ่านมา (รอยเตอร์)

ทั้งนี้ มาเลเซียอยู่ภายใต้สถานการณ์ฉุกเฉินตั้งแต่เดือนมกราคม ซึ่งใช้เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่วนสถานการณ์การแพร่ระบาดในวันเริ่มล็อกดาวน์รอบนี้ มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น 3,807 คน รวมติดเชื้อสะสม 444,484 คน เสียชีวิตรวม 1,700 คน

ศพแรกในลาว สัญญาณเตือนรับมือโควิด

มาตรการสกัดโควิดที่สนามบินใน สปป.ลาว (เอเอฟพี)

ถือเป็นประเทศที่มียอดผู้ติดเชื้อน้อยมากตลอดมา หากเทียบกับหลายประเทศในภูมิภาคแห่งนี้ ทว่า นับแต่ช่วงสงกรานต์ปีนี้ กลับมีตัวเลขที่ค่อยๆ เพิ่มสูงขึ้น จนต้องล็อกดาวน์เมืองใหญ่กันมาแล้ว กระทั่ง 10 พฤษภาคมที่ผ่านมา วันเดียวกับการประกาศล็อกดาวน์ของมาเลเซีย คณะทำงานเฉพาะกิจแห่งชาติเพื่อการป้องกันและควบคุมโรคโควิด-19

สปป.ลาว แถลงพบผู้เสียชีวิตจากโรคโควิด-19 เป็นรายแรกของประเทศ เมื่อ 9 พฤษภาคม โดยเป็นแรงงานหญิงชาวเวียดนามวัย 53 ที่ทำงานอยู่ในร้านคาราโอเกะ ในกรุงเวียงจันทน์ โดยผู้ป่วยมีประวัติด้านสุขภาพรวมถึงโรคเบาหวานการพบผู้เสียชีวิตจากโควิดในประเทศเป็นรายแรก นี่คือสัญญาณเตือนที่ทำให้ทางการลาวเร่งขยายมาตรการต่อสู้รับมือกับโรคโควิด-19

คณะแพทย์จากสาธารณรัฐประชาชนจีน 9 คน เดินทางถึงแขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว รุดช่วยแก้สถานการณ์โควิด (Lao Youth Radio FM 90.0 Mhz)

สื่อลาวรายงานว่า ดอกเตอร์บัวเทพ พูมิน รองปลัดกระทรวงสาธารณสุขและการฟื้นฟูของลาว กำชับให้ผู้ที่ตรวจพบว่าติดเชื้อและกลุ่มคนมีความเสี่ยงสูงให้ซื่อสัตย์และให้ข้อมูลอย่างถูกต้องแก่เจ้าหน้าที่เพื่อการติดตามรอยโรคได้ขณะที่ลาวมีแนวโน้มผู้ติดเชื้อโควิดพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วนับจากวันที่ 14 เมษายนที่ผ่านมา โดยในวันที่ 12 พฤษภาคม มียอดผู้ติดเชื้อสะสมรวม 1,417 ราย อายุต่ำสุดที่พบ เป็นทารกวัยเพียง 2 เดือน ล่าสุด คณะแพทย์จากจีน 9 ราย บินรุดมาช่วยแก้ไขสถานการณ์ในแขวงบ่อแก้ว

นายกฯ เวียดนามรับ

ถ้าคุมโรคไม่ได้ กระทบ ‘เสถียรภาพการเมือง’

จาก สปป.ลาวซึ่งผู้เสียชีวิตรายแรกในประเทศคือแรงงานเวียดนาม ครั้นไปส่องข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุขเวียดนาม พบว่ายอดผู้ติดเชื้อรวมในประเทศอยู่ที่ราวกว่า 3 พันราย เสียชีวิตหลักสิบ เดิมเป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับความชื่นชมจากความสามารถในการควบคุมการแพร่ระบาดได้อย่างว่องไวผ่านการตรวจสอบเพื่อหาผู้ติดเชื้อเชิงรุกจำนวนมาก รวมถึงการดำเนินมาตรการกักบริเวณอันเข้มงวด ทว่า ในช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา มีรายงานการแพร่ระบาดของโควิดครั้งใหม่เกิดขึ้น ก่อนที่จะแพร่กระจายไปทั่วประเทศอย่างรวดเร็ว นำมาซึ่งการสั่งล็อกดาวน์โรงพยาบาลราว 10 แห่ง

ฝั่ม มิญ จิ๊ญ นายกรัฐมนตรีเวียดนาม ออกมายอมรับว่า หากไม่สามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้ก็จะส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางการเมืองอย่างไม่อาจคาดการณ์ได้ โดยขณะนี้ความเสี่ยงที่จะเกิดการแพร่ระบาดไปทั่วประเทศอยู่ในระดับสูง เวียดนามจำเป็นจะต้องใช้มาตรการที่เข้มข้นขึ้นเพื่อควบคุมสถานการณ์

เวียดนามต้านโควิดอย่างรวดเร็วมีประสิทธิภาพ กระทั่งเดือนเมษายนยอดติดเชื้อพุ่งจนต้องลุยมาตรการเข้ม

เมียนมา การเมืองร้อน

‘อดีตมิสแกรนด์’ เข้าป่าฝึกอาวุธสู้เผด็จการ

อีกหนึ่งประเทศที่สถานการณ์ยังร้อนแรง คือ เมียนมา ที่บรรยากาศการสู้รบระหว่างประชาชนกับกองทัพกลบความสนใจในข่าวโควิดแทบมิด โดยล่าสุด เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ‘รัฐบาลเงา’ เมียนมา ปัดข้อเสนอของอาเซียนในการเจรจากับรัฐบาลทหาร

นอกจากนี้ สำนักข่าวเอเอฟพีอ้างการเปิดเผยจาก ขิ่น หม่อง ซอ หนึ่งในทีมทนายความของ ออง ซาน ซูจี ผู้นำพรรคสันนิบาตชาติเพื่อประชาธิปไตย (เอ็นแอลดี) ที่อยู่ระหว่างถูกควบคุมตัวไว้ในบ้านพักในกรุงเนปยีดอ ระบุว่า ซูจีมีกำหนดจะปรากฏตัวต่อศาลเป็นครั้งแรกในการไต่สวนคดีในวันที่ 24 พฤษภาคมนี้ หลังจากที่ไม่เคยได้รับอนุญาตให้ปรากฏตัวในที่สาธารณะอีกเลยนับตั้งแต่เกิดการรัฐประหารเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา

สำหรับคดีความต่างๆ ดูเหมือนจะมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ รวมเป็น 6 ข้อหา ตั้งแต่การครอบครองวิทยุสื่อสารแบบวอล์กกี้ ทอล์กกี้ โดยไม่ได้รับอนุญาต, ละเมิดคำสั่งเพื่อการยับยั้งการระบาดโควิด-19 ตลอดจนข้อหาที่ร้ายแรงที่สุดคือการละเมิดกฎหมายว่าด้วยความลับทางราชการ ในขณะที่ยังมีการกล่าวหาว่าคอร์รัปชั่น รับสินบนทั้งที่เป็นเงินและเป็นทองคำแท่ง ทว่า ยังไม่มีการตั้งข้อหาอย่างเป็นทางการแต่อย่างใด

ย้อนกลับไปในการพิจารณาคดีของนางซูจีซึ่งที่ผ่านมามีขึ้นที่ศาลในนครย่างกุ้ง โดยอดีตผู้นำสูงสุดของพรรคเอ็นแอลดี ให้การต่อศาลผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์เท่านั้น และที่สำคัญคือคืบหน้าไปอย่างเชื่องช้ามาก จนซูจีแสดงความไม่พอใจออกมาในการไต่สวนครั้งหลังสุด กระทั่งศาลมีคำสั่งเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม ให้ปรากฏตัวต่อศาลในการไต่สวนคดีครั้งต่อไป ซึ่งจะมีขึ้นในที่ทำการพิเศษของศาลที่จะจัดให้มีขึ้นใกล้กับบ้านที่ถูกกักบริเวณอยู่ในเวลานี้

“ซูจีจะปรากฏตัวต่อศาลในวันที่ 24 พฤษภาคมนี้ แต่ศาลยังไม่มีคำสั่งให้ทนายความเข้าพบเพื่อหารือคดีกับนางซูจีแต่อย่างใด เพราะทางตำรวจยังไม่ยอมตอบต่อศาลว่าสามารถจัดการให้มีการพบหน้ากันดังกล่าวหรือไม่ ทั้งๆ ที่การหารือกับลูกความเป็นส่วนตัว ถือเป็นสิทธิพื้นฐานอันชอบธรรมของจำเลย” ขิ่น หม่อง ซอระบุ

มิสแกรนด์เมียนมา 2013 จับอาวุธเข้าป่าสู้เผด็จการ

สำหรับข่าวสารความคืบหน้าในฟากฝั่งประชาชน รอยเตอร์รายงานว่า เคต ตี กวีชาวเมียนมา วัย 45 ที่ประกาศตัวต่อต้านรัฐบาลทหาร เสียชีวิตระหว่างอยู่ในที่คุมขังในคืนวันที่ 9 พฤษภาคม โดยภรรยาระบุว่า ได้รับแจ้งให้ไปพบสามีที่โรงพยาบาล เมื่อไปถึงกลับพบเพียงร่างไร้วิญญาณที่ถูกนำเอาอวัยวะภายในหลายอย่างออกไป

ปิดท้ายที่ข่าวฮือฮาล่าสุดแม้กระทั่งในไทย นั่นคือการที่อดีตมิสแกรนด์เมียนมา 2013 นามว่า ทาร์ เทต เทต (Htar Htet Htet) ประกาศบนเฟซบุ๊กส่วนตัวเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคมที่ผ่านมา ว่าตัวเองและเพื่อนๆ ได้เดินทางเข้าป่าในรัฐกะเหรี่ยงเพื่อฝึกอาวุธกับ Karen National Defense Organization (KNDO) และนักศึกษากลุ่ม United Defense Force (UDF) แล้วมากกว่า 10 วัน ทั้งยังมีวาทะสำคัญที่กินใจยิ่งความว่า

“พร้อมสละชีพ เพื่อเป้าหมายคือสู้กับเผด็จการทหารที่ฝังรากมากว่า 60 ปี”

เหล่านี้คือสถานการณ์ในรอบสัปดาห์ที่ต้องจับตากันต่อไปในความไม่ปกติทั้งโรคระบาดและการเมืองที่ส่อเค้าอลหม่านอย่างยืดเยื้อยาวนานเกินคาดเดา

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image