EFORL ขายทิ้งหุ้นกลุ่มบริษัท ‘วุฒิศักดิ์’ หลังขาดทุนต่อเนื่อง ปรับพอร์ตใหม่มุ่งธุรกิจเครื่องมือแพทย์

นายปรีชา นันท์นฤมิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อี ฟอร์ แอล เอม จํากัด (มหาชน) (EFORL) ตัวแทนจำหน่ายเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 7/2564 เมื่อวันที่ 4 มิถุนายนที่ผ่านมา มีมติอนุมัติการขายหุ้นทั้งหมดของบริษัท ดับบลิวซีไอ โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) (WCIH) ซึ่งเป็นบริษัทย่อย โดยบริษัทถือหุ้นอยู่จำนวน 101,849,993 หุ้น คิดเป็นร้อยละ 56 ของจำนวนหุ้นทั้งหมดที่มีสิทธิออกเสียง ในราคาหุ้นละ 0.01 บาท รวมเป็นเงินจำนวน 1,018,499.93 บาท ให้แก่คุณทัศนี คนการ ซึ่งเป็นบุคคลที่ไม่เกี่ยวโยงกันตามประกาศสำนักงานกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)

สำหรับ WCIH ประกอบธุรกิจการลงทุนในกลุ่มบริษัท “วุฒิศักดิ์” ซึ่งประกอบด้วย บจก.วุฒิศักดิ์ คลินิก อินเตอร์กรุ๊ป, บจก.ดับบลิว.เอส.เซอร์จีรี่ 2014, บจก.ดับบลิว เวลเนส อินเตอร์, บจก.วุฒิศักดิ์ คอสเมติก อินเตอร์, บจก.ดับบลิว โกลบอล และ บจก.วุฒิศักดิ์ ฟามาซี อินเตอร์ จำกัด

“การขายหุ้น WCIH ทั้งหมด จะทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทดีขึ้น ลดผลกระทบจากการขาดทุนจากการดำเนินงานของ WCIH และบริษัทย่อยของ WCIH ในงบการเงินรวมของบริษัท เนื่องจากการดำเนินของกลุ่มบริษัทวุฒิศักดิ์ไม่เป็นไปตามประมาณการ ส่งผลให้ WCIH มีผลการดำเนินงานขาดทุนสุทธิอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน ประกอบกับแนวโน้มการดำเนินงานของ WCIH และบริษัทย่อยของ WCIH มีผลการดำเนินงานขาดทุนสุทธิต่อเนื่องและหลายบริษัทหยุดประกอบธุรกิจ บริษัทสามารถจะมุ่งเน้นการทำธุรกิจตัวแทนจำหน่ายเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ซึ่งเป็นธุรกิจที่บริษัทมีประสบการณ์และมีความเชี่ยวชาญ ซึ่งคาดว่าจะส่งผลให้การดำเนินงานของบริษัทดีขึ้น และเพื่อให้บริษัทสามารถนำทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด โดยเฉพาะเงินทุนหมุนเวียนใช้ในการดำเนินธุรกิจหลักอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น” นายปรีชากล่าว

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร EFORL กล่าวว่า บริษัทฯยังคงเดินหน้าขยายฐานลูกค้าเครื่องมือทางการแพทย์ ซึ่งเป็นรายได้หลัก และตลาดยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก จากสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 บริษัทได้เพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่สำหรับผู้ป่วยโควิด-19 เช่น เครื่องเอกซเรย์ปอดแบบ Portable เครื่อง Oxygen Hi Flow เครื่องตรวจสมรรถภาพปอดแบบ Portable เครื่องวัดสัญญานชีพผู้ป่วยในห้องควบคุมความดันลบ เป็นต้น เพื่อป้อนให้กับโรงพยาบาล ซึ่งถือเป็นการต่อยอดธุรกิจให้เติบโตในอนาคต ขณะที่ต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมามีเม็ดเงินจากการเพิ่มทุนกว่า 176 ล้านบาท ทำให้บริษัทมีความแข็งแกร่งทางการเงินมากขึ้นด้วย และมั่นใจว่าแนวโน้มรายได้ในปีนี้จะเติบโต 15% ตามแผนงานที่วางไว้ จากปีที่ผ่านมา และในวันที่ 11 มิถุนายน 2564 จะปรับย้ายกลุ่มอุตสาหกรรมจากกลุ่มอุตสาหกรรมบริการ (Services) ไปยังกลุ่มอุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคและบริโภค (Consumer Products) ในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai)

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image